วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

08-พระราหุลเถระ

08-พระราหุลเถระ
เอตทัคคะในทางผู้ใคร่ในการศึกษา

พระราหุล เป็นโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ (พุทธโอรส) กับพระนางยโสธรา หรือพิมพา

เป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ครองนครกบิลพัสดุ์ ประสูติวันเดียวกันกับที่พระ
บิดาเสด็จออกบวช ดังนั้น ท่านจึงเจริญพระชันษาเติบโตขึ้นมาโดยมิเคยเห็นพระพักตร์รู้จักพระ
บิดาเลย จวบจนครั้นเมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้แล้ว เสด็จมาโปรดพระประยูรญาติที่กรุงกบิลพัส
ดุ์ ประทับอยู่ที่นิโครธาราที่พระประยูรญาติสร้างถวาย ในวันรุ่งขึ้นเวลาเช้าทรงปฏิบัติพุทธกิจ
เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนครกบิลพัสดุ์ ทรงแสดงธรรมโปรดพระเจ้าสุทโธทนะพระบิดาใน
ระหว่างถนน ให้พระบิดาดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล
ในวันที่ ๒ เสด็จเข้าไปรับบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์ ทรงแสดงธรรมโปรดพระบิดา
และพระนางมหาปชาบดีโคตรมี เมื่อจบพระธรรมเทศนาพระบิดาดำรงอยู่ในพระสกทาคามี
ส่วนพระนางมหาปชาบดีโคตรมี ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ว่าพระพุทธ
องค์จะเสด็จเข้าไปรับอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์ถึง ๖ วันแล้วก็ตาม แต่พระนางพิมพา
พระมารดาของราหุลกุมาร ก็มิได้มาเฝ้าพระพุทธองค์ ดุจบุคคลอื่น ๆ เลย

  • ราหุลกุมารทูลขอทรัพย์สมบัติ
    ครั้นล่วงถึงวันที่ ๗ แห่งการเสด็จเยือนพระนครกบิลพัสดุ์ พระนางพิมพาราชเทวี
    ประดับตกแต่งองค์ราหุลกุมารราชโอรสด้วยอาภรณ์อันวิจิตรแล้วตรัสว่า:-
    “พ่อราหุลลูกรัก พ่อจงไปดูพระสมณะผู้มีผิวพรรณผ่องใส รูปงามดุจท่านท้าว
    มหาพรหม แวดล้อมด้วยพระสงฆ์สาวก เป็นจำนวนมาก พระสมณะองค์นั้นคือพระบิดาของเจ้า
    พระองค์มีขุมทรัพย์มหาศาลอันสุดจะคณนา นับแต่พระบิดาของเจ้าออกบวช เจ้าก็เหมือนหมด
    หวังในราชสมบัติ เจ้าจงไปกราบไหว้พระบิดาแล้วกราบทูลขอทรัพย์สมบัตินั้นในฐานะเป็น
    ทายาทสืบสันติวงศ์ต่อพระองค์เถิด”
    ราหุลกุมาร เสด็จเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตามพระดำรัสของพระมารดา
    กราบถวายบังคมแล้ว ทอดพระเนตรดูพระสัพพัญญู บังเกิดความรักในพระบิดา ทรงปราโมทย์
    โสมนัสตรัสชมว่า “ร่มเงาของพระองค์เย็นสดชื่นยิ่งนัก พระพักตร์ของพระองค์สดใสสุด
    ประมาณ” ดังนี้แล้วก็ตรัสเรื่องอื่น ๆ ต่อไปโดยมิได้กราบทูลขอทรัพย์สมบัติ
    พระพุทธองค์ ทรงกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ตรัสอนุโมทนา เสด็จกลับสู่นิโครธาราม
    ส่วนราหุลกุมารก็เสด็จติดตามไปจนถึงอาวาส มิมีผู้ใดจะสามารถกราบทูลทัดทานได้ เมื่อสบ
    โอกาสจึงกราบทูลขอทรัพย์สมบัติอันเป็นสิ่งที่รัชทายาทผู้สืบราชสันติวงศ์ สันติวงศ์จะพึงได้รับ

  • พระราชทานอริยทรัพย์
    พระบรมศาสดา ได้ทรงสดับดังนั้นแล้วทรงดำริว่า “ราหุลกุมารปรารถนาทรัพย์สมบัติ
    อันเป็นของพระบิดา ถ้าตถาคตจะให้ขุมทองแก่เธอแล้ว ก็จะเป็นสิ่งชักนำให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่
    ในวัฏสงสาร ด้วยเป็นสิ่งหาสาระแม้สักนิดหนึ่งก็หามีไม่ อย่ากระนั้นเลย เราจะมอบอริยทรัพย์
    อันเป็นสิ่งประเสริฐสุดในพระพุทธศาสนานี้แก่เธอ ซึ่งจะจำให้เธอเป็นโลกุตรทายาท สืบสกุล
    ในพุทธวงศ์นี้สืบไป"
    ครั้นแล้วทรงมีพระดำรัสสั่งให้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร จัดการบรรพชาให้แก่ราหุล
    กุมารในวันนั้น ด้วยวิธีให้รับไตรสรณคมน์ และสามเณรราหุล ได้ชื่อว่าเป็นสามเณรองค์แรกใน
    พระพุทธศาสนา

  • พระเจ้าสุทโธทนะทูลขอพร
    พระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อทราบว่าราหุลกุมารบรรพชาแล้ว ทรงโทมนัสเสียพระทัยเป็น
    อย่างยิ่งด้วยหวังไว้แต่เดิมว่า เมื่อพระราชโอรสสิทธัตถะออกบวชแล้วก็หวังจะได้นันทกุมารสืบ
    ราชสมบัติต่อ แต่พระบรมศาสนาก็ทรงพานันทะออกบวช ทำให้ผิดหวังเป็นคำรบสอง แต่ก็ยังมี
    หวังอยู่ว่าจะให้ราหุลกุมารหลานรัก เป็นทายาทสืบราชสมบัติต่อไป แต่แล้วพระพุทธองค์ก็ทรง
    นำไปบวชเสียอีก จึงหมดสิ้นผู้สืบราชสมบัติต่อไป แต่แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงนำไปบวชเสียอีก
    จึงหมดสิ้นผู้จะสืบสายรัชทายาท ทรงดำริต่อไปอีกว่า หากปล่อยไว้อย่างงี้อีกไม่นาน บรรดา
    กุมารในศากยสกุลก็จะถูกนำไปบวชจนหมดสิ้น อนึ่ง ความทุกข์โทมนัสอย่างนี้ก็จะเกิดแก่บิดา
    มารดาในสกุลอื่น ๆ ด้วยเหตุส้นคนสืบสกุล จึงรีบเสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่
    นิโครธาราม กราบทูลขอประทานพระพุทธอนุญาตว่า
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับต่อแต่นี้ไป ถ้ากุลบุตรผู้ใดแม้ประสงค์จะบวชในพระพุทธ
    ศาสนา หากมารดาบิดายังมิยอมพร้อมใจกันอนุญาตให้บวชแล้วขอได้โปรดงดเสีย อย่าได้ให้
    บรรพชาแก่กุลบุตรผู้นั้นเลย”
    พระบรมศาสดา ได้ประทานพรตามที่พระพุทธบิดากราบทูลขอแล้วถวายพระพรลา พา
    พระนันทะ และสามเณรราหุล พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จกลับสู่มหานครราชคฤห์
    เมื่อราหุลกุมาร บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ตามเสด็จพระบรมศาสดา และพระสารีบุตร
    เถระอุปัชฌาย์ของตน ไปยังสถานที่ต่าง ๆ เมื่ออายุครบก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
    วันหนึ่ง ขณะที่พระราหุลพักอยู่ที่สวนมะม่วง ในกรุงราชคฤห์ พระบรมศาสดาเสด็จไป
    ที่นั่น ทรงแสดงพระธรรมเทศนาราหุโลวาทสูตร ให้ท่านฟังหลังจากนั้นทรงสอนในทาง
    วิปัสสนา ทรงยกอายตนะภายใน และภายนอกขึ้นแสดงพระราหุล ส่งจิตไปตามกระแสพระ
    ธรรมเทศนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล

  • ได้รับยกย่องเป็นผู้ใคร่การศึกษา
    พระราหุล เป็นผู้มีอัธยาศัยใคร่ต่อการศึกษาพระธรรมวินัย ทุกวันที่ท่านตื่นขึ้นมาเวลา
    เช้า ท่านจะกำทรายให้เต็มฝ่าพระหัตถ์แล้วตั้งความปรารถนาว่า “วันนี้ ข้าพเจ้าพึงได้รับคำสั่ง
    สอนจากสำนักพระบรมศาสดา สำนักพระอุปัชฌาย์และสำนักพระอาจารย์ทั้งหลายให้ได้
    ประมาณเท่าเม็ดทรายในกำมือของข้าพเจ้านี้”
    ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดา ให้ดำรงตำแหน่งเอตทัคคะ เป็น
    ผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้ใคร่ในการศึกษา

  • เป็นต้นบัญญัติ ห้ามภิกษุนอนร่วมกับอนุปสัมบัน
    ในขณะเมื่อท่านยังเป็นสามเณรเล็ก ๆ อยู่นั้น ท่านเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่ายจนเป็นที่เลื่องลือ
    ในหมู่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยว่า ครั้งนั้นพุทธบริษัททั้งหลาย ฟังธรรมกันยามค่ำคืน โดยมีพระเถระ
    ผลัดเปลี่ยนกันแสดงธรรม เมื่อสิ้นสุดการแสดงธรรมแล้ว พระเถระผู้ใหญ่ต่างก็กลับที่พักของ
    ตน ส่วนพระภิกษุผู้บวชใหม่ และสามเณรรวมทั้งอุบาสก ที่ไม่สามารถจะกลับที่พักได้เพราะค่ำ
    มือจึงอาศัยนอนกันในโรงธรรมนั้น เนื่องจากเป็นพระบวชใหม่ จึงไม่สำรวมในการนอน ทำให้
    เกิดภาพที่ไม่น่าดู รุ่งเช้า อุบาสกทั้งหลายพากันติเตียนและความทราบไปถึงพระผู้มีพระภาค
    พระพุทธองค์จึงรับสั่งประชุมสงฆ์แล้วทรงบัญญัติสิกขาบท “ห้ามภิกษุนอนร่วมในที่มุงที่บัง
    เดียวกันกับอนุปสัมบัน (อนุปสัมบัน คือ ผู้มิใช่พระภิกษุ) ถ้านอนร่วมต้องอาบัติปาจิตตีย์”
    ครั้นในคืนต่อมา สามเณรไม่สามารถจะนอนร่วมกับพระภิกษุได้ และเมื่อไม่มีที่จะนอน
    ท่านจึงเข้าไปนอนในเว็จกุฏี (ส้วม) ของพระบรมศาสดาเมื่อเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธองค์เสด็จไป
    พบเธอนอนในที่นั้น และทรงทราบว่าเพราะเธอไม่มีที่นอนอันเนื่องมาจากพุทธบัญญัติทำให้
    พระองค์สลดพระทัยจึงดำริว่า “ต่อไปภายหน้า สามเณรน้อย ๆ จะได้รับความลำบาก เพราะขาด
    ผู้ดูแลเอาใจใส่” จึงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทเพิ่มเติมว่า:-
    “ให้ภิกษุนอนร่วมกับอนุปสัมบันได้ ๓ คืน ถ้าเกิน ๓ คืน พระภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์”
    ในพุทธบัญญัตินี้ หมายถึงให้ภิกษุนอนร่วมกับอนุปสัมบันได้ ๓ คืน ในคืนที่ ๔ ให้เว้น
    เสีย ๑ คืน แล้วค่อยกลับมานอนรวมกันใหม่ได้ โดยเริ่มนับหนึ่งจนถึงคืนที่ ๓ ทำโดยทำนองนี้จน
    กว่าจะมีสถานที่นอนแยกกันเป็นการถาวร
    ท่านพระราหุลเถระ ดำรงอายุสังขาร โดยสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน
    ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ ดาวดึงส์เทวโลก
    ท่านมีอายุไม่มากนัก เพราะท่านนิพพานก่อนพระพุทธองค์ผู้เป็นพระบิดา ก่อน
    พระสารีบุตรผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ก่อนพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นพระอาจารย์

พระสารีบุตรเถระ

03-พระสารีบุตรเถระ
เอตทัคคะในทางผู้มีปัญญา

  • ในสมัยนั้นไม่ห่างไกลจากกรุงราชคฤห์มากนัก ที่ตำบลนาลันทา มีหมู่บ้านพราหมณ์
    ๒ หมู่บ้าน ชื่อ อุปติสสคาม และโกลิตคาม
    ในหมู่บ้านอุปติสสคาม มีหัวหน้าหมู่บ้านชื่อว่า วังคันตะ ภารยาชื่อว่า นางสารี มีบุตร
    ชื่อว่า อุปติสสะ แต่เพราะเป็นบุตรของนางสารี จึงนิยมเรียกกันว่า สารีบุตร
    ในหมู่บ้านโกลิตคาม มีภารยาของหัวหน้าหมู่บ้านชื่อว่า นางโมคคัลลี มีบุตรชื่อว่า
    โกลิตะ แต่นิยมเรียกกันว่า โมคคัลลานะ ตามชื่อของมารดา
    ทั้งสองตระกูลนี้ มีความเกี่ยวข้องเป็นสหายกันมานานถึง ๗ ชั่วอายุคนดังนั้น มาณพทั้ง
    สอง จึงเป็นสหายกันดุจบรรพบุรุษ มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เข้าศึกษาศิลปะวิทยาในสำนักของ
    อาจารย์คนเดียวกันเมื่อจบการศึกษาก็เป็นเพื่อเที่ยวร่วมสุขร่วมทุกข์ หาความสนุกความสำราญ
    ดูการเล่นมหรสพตามประสาวัยรุ่น และให้รางวัลแก่ผู้แสดงบ้างตามโอกาสอันควร

  • เบื่อโลกจึงออกบวช
    วันหนึ่งสหายทั้งสองพร้อมด้วยบริวาร ไปดูมหรสพด้วยกันเช่นเคย แต่ครั้งนี้มิได้มี
    ความสนุกยินดี เบิกบานใจเหมือนครั้งก่อน ๆ เลย ทั้งสองมีความคิดตรงกันว่า “ทั้งคนแสดง
    และทั้งคนดู ต่างก็มีอายุไม่ถึงร้อยปีก็จะตายกันหมด ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลยกับการหาความ
    สุขความสำราญแบบนี้ เราควรแสวงหาโมกขธรรม จะประเสริฐกว่า” ทั้งสองเมื่อทราบความรู้
    สึกและความประสงค์ของกันและกันแล้ว จึงตกลงกันนำบริวารฝ่ายละครึ่ง รวมได้ ๕๐๐ คน
    ออกบวช และปรึกษากันว่า “พวกเราควรจะไปบวชในสำนักของใคร และอาจารย์ไหนจึงจะดี”


สมัยนั้น สญชัยปริพาชก เป็นอาจารย์เจ้าสำนักใหญ่ในเมืองราชคฤห์ มีคนเคารพนับถือ
และมีศิษย์ มีบริวารมากมาย มาณพทั้งสองจึงพากันเข้าไปขอบวช ฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาศิลปะ
วิทยาในสำนักนี้ สำนักของ สญชัยปริพาชก ตั้งแต่มาณพทั้งสองมาบวชอยู่ด้วยแล้วก็เจริญรุ่ง
เรืองด้วยลาสักการะ และคนเคารพนับถือมากขึ้น มาณพทั้งสองศึกษาอยู่ในสำนักนี้ไม่นาน ก็สิ้น
ความรู้ของอาจารย์ เมื่อถามถึงวิทยาการที่สูงขึ้นไปอีก อาจารย์ก็ไม่สามารถจะสอนให้ได้ จึง
ปรึกษากันว่า:-
“การบวชอยู่ในสำนักนี้ไม่มีประโยชน์อะไร ลัทธินี้มิใช่ทางเข้าถึง โมกขธรรม เราควร
พยายามแสวงหาอาจารย์ ผู้สามารถแสดงโมกขธรรมแก่เราได้” ดังนั้น ทั้งสองจึงทำสัญญาต่อ
กันว่า “ในระหว่างเราทั้งสอง ถ้าผู้ใดได้อมตธรรมก่อน ผู้นั้นจงบอกแก่กันให้รู้ด้วย”
วันหนึ่ง พระอัสสชิ ซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนพระปัญจวัคคีย์ ที่พระพุทธองค์ทรงส่งไป
ประกาศพระศาสนา ได้จาริกมาถึงกรุงราชคฤห์ และเข้าไปบิณฑบาตในเมือง อุปติสสปริพาชก
ออกจากอารามมาด้วยกิจธุระภายนอกเห็นท่านแสดงออกซึ่งปฏิปทาอันน่าเลื่อมใส จะก้าวไป
หรือถอยกลับ จะเหยียดแขนหรือพับแขน จะเหลียวซ้ายแลขวา ดูน่าเลื่อมใสเรียบร้อยไปทุก
อิริยาบถ ทอดจักษุแต่พอประมาณ มีอาการแปลกจากบรรพชิต ที่เคยเห็นมาแต่กาลก่อน อยาก
จะทราบว่า ท่านบวชในสำนักของใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน แต่ก็มิอาจถามท่านได้เพราะมิใน
กาลเวลาอันสมควร จึงเดินตามไปห่าง ๆ
เมื่อพระเถระได้รับอาหารพอสมควรแล้วจึงออกไปสู่ที่แห่งหนึ่งเพื่อทำภัตตกิจ
อุปติสสปริพาชก จึงได้จัดปูลาดอาสนะ ถวายน้ำใช้น้ำฉัน และคอยเฝ้าปฏิบัติอยู่ เมื่อเสร็จภัตกิจ
แล้ว จึงกราบเรียนถามด้วยความเคารพว่า:-
“ข้าแต่ท่านผู้มีอายุ อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ผิวพรรณของท่านก็หมดจดผ่องใส
ท่านบวชในสำนักของใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน และท่านชอบใจธรรมของใคร?”
พระเถระตอบว่า “ปริพาชกผู้มีอายุ เราบวชจำเพาะพระมหาสมณะศากยบุตรผู้เสด็จออก
จากศากยสกุล พระองค์เป็นศาสดาของเรา เราชอบใจธรรมของท่าน”

“พระศาสดาของท่านสอนว่าอย่างไร?"
พระเถระคิดว่า “ธรรมดาปริพาชกทั้งหลาย ย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อพระศาสนา ควรที่เราจะ
แสดงความลึกซึ้งคัมภีร์ภาพแห่งพระธรรม” จึงกล่าวว่า:-
“ผู้มีอายุ เราเป็นผู้บวชใหม่ มาสู่พระธรรมวินัยนี้ไม่นาน ไม่สามารถจะแสดงธรรมแก่
ท่านโดยพิสดารได้ เราจักกล่าวแก่ท่านแต่โดยย่อพอรู้ความ”
“ท่านสมณะ ท่านจงกล่าวแต่เนื้อความเถิด ข้าพเจ้าต้องการเฉพาะเนื้อความเท่านั้น”
พระอัสสชิเถระ ได้ฟังคำของอุปติสสปริพาชกแล้ว จึงกล่าวหัวข้อธรรมมีใจความว่า:-
เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ? ตถาคโต
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํวาที มหาสมโณฯ
“ธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด (เกิดแต่เหตุ)
พระตถาคตเจ้า ทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น
พระมหาสมณะ ตรัสอย่างนี้”
อุปติสสะ เพียงได้ฟังหัวข้อธรรมนี้จากพระเถระเท่านั้นก็สำเร็จเป็นพระโสดาบัน เกิด
ธรรมจักษุ คือ ดวงตาเห็นธรรมว่า:-
“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา” ดังนี้
แล้วถามว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เวลานี้พระบรมศาสดาของเราประทับอยู่ที่ไหน ขอรับ?"
“ผู้มีอายุ พระองค์ประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร”
“ถ้าอย่างนั้น นิมนต์พระคุณเจ้าไปก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะกลับไปหาสหายก่อน และจะพา
กันไปเฝ้าพระบรมศาสดาต่อภายหลัง”
อุปติสสะ กราบลาพระเถระแล้ว ทำประทักษิณ ๓ รอบแล้วรีบกลับไปสู่สำนักปริพาชก
ส่วน โกลิตะ ผู้เป็นสหาย เห็นอุปติสสะเดินมาแต่ไกลด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ผิวพรรณมีสง่า
ราศีกว่าวันอื่น ๆ จึงคิดว่า “วันนี้ สหายของเรา คงได้พบอมตธรรมเป็นแน่” เมื่อสหายเข้ามาถึง
จึงรีบสอบถาม ก็ได้ความตามที่คิดนั้น และเมื่ออุปติสสะแสดงหัวข้อธรรมให้ฟัง ก็ได้ดวงตาเห็น
ธรรมบรรลุเป็น พระโสดาบันเช่นเดียวกัน สองสหายตกลงที่จะพาบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดา
จึงเข้าไปหาอาจารย์สญชัยปริพาชกชักชวนให้ร่วมเดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ด้วยกัน
แต่อาจารสญชัยปริพาชก ผู้มีทิฏฐิแรงกล้าถือตนว่าเป็นเจ้าสำนักใหญ่มีคนเคารพนับถือ
มากมาย ไม่สามารถที่จะลดตัวลงไปเป็นศิษย์ใครได้จึงไม่ยอมไปด้วย ปล่อยให้สองสหายพา
ศิษย์ของตนไปเฝ้าพระบรมศาสดาแต่พอเห็นศิษย์ในสำนักออกไปคราวเดียวกันมากขนาด นั้น
เห็นสำนักเกือบจะว่างเปล่า เหลือศิษย์อยู่เพียงไม่กี่คน จึงเกิดความเสียใจอย่างแรง และถึงแก่มร
ณีกรรมในเวลาต่อมา
อุปติสสะ และ โกลิตะ พร้อมด้วยบริวารพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ พระเวฬุวัน
มหาวิหาร ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัทสี่ ได้ทอดพระเนตร
เห็นสองสหายพร้อมด้วยบริวาร เดินมาแต่ไกล จึงตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ปริพาชกสองสหายที่กำลังเดินมานั้น คือ คู่อัครสาวก ของตถาคต”
เมื่อปริพาชกทั้งสองพร้อมด้วยบริวารมาถึงที่ประทับ กราบถวายบังคมแล้วนั่งในที่อัน
สมควร ได้สดับพระธรรมเทศนาจบลงแล้ว บรรดาบริวารทั้งหมดได้บรรลุพระอรหัตผล เว้นอุ
ปติสสะและโกลิตะ ผู้เป็นหัวหน้า ต่อจากนั้นพระพุทธองค์ประทานการอุปสมบทแก่พวกเธอทั้ง
หมดด้วยวิธี “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” และทรงบัญญัตินามให้ท่านอุปติสสะว่า “พระสารีบุตร”
และให้ท่านโกลิตะว่า “พระโมคคัลลานะ” ตามมงคลนามของมารดา
พระสารีบุตร หลังจากอุปสมบทแล้วได้ ๑๕ วัน ได้ติดตามพระพุทธองค์ ซึ่งเสด็จไป
ประทับพักที่ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ วันหนึ่งขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่ถ้ำ
สุกรขาตา ที่ภูเขาคิชกูฏนั้น ปริพาชกผู้หนึ่งนามว่า ทีฆนขะ ซึ่งเป็นอัคคิเวสนโคตร และเป็น
หลานชายของพระสารีบุตร เที่ยวติดตามหาลุงจนพบ ได้เข้าเฝ้ากราบทูลถามถึง ทิฏฐิ คือ ความ
เห็นของตนต่อ พระผู้มีพระภาคเข้าว่า:-
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพระองค์ ๆ ไม่ชอบใจหมดทุกสิ่ง”
“ดูก่อนปริพาชก ถ้าอย่างนั้น ทิฏฐิ คือความเห็นเช่นนั้น ก็ต้องไม่ควรแก่ปริพาชกด้วย
และปริพาชก ก็ต้องไม่ชอบ ทิฏฐิ นั้นด้วยเหมือนกัน”
ลำดับต่อจากนั้น พระพุทธองค์ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาชื่อวา “เวทนาปริคคหสูตร”
ทรงแสดงถึงเวทนาทั้ง ๓ คือ:-
ในเวลาใด เมื่อบุคคลเสวยสุขเวทนา เวลานั้น ย่อมไม่ได้เสวยทุกขเวทนา หรือ
อทุกขมสุขเวทนา (อุเบกขาเวทนา)
ในเวลาใด เมื่อบุคคลเสวยทุกขเวทมนา เวลานั้น ย่อมไม่ได้เสวยสุขเวทนา หรือ
อทุกขมสุขเวทนา
ในเวลาใด เมื่อบุคคลเสวยอทุกขมสุขเวทนา เวลานั้น ย่อมไม่ได้เสวยสุขเวทนา
หรือ ทุกขเวทมนา
ขณะที่พระบรมศาสดา ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรด ทีฆนขะ อยู่นั้น พระสารีบุตร
ได้นั่งถวายงานพัดอยู่เบื้องหลังพระศาสดา พัดไปพลาง ฟังไปลาง ส่งจิตพิจารณาไปตามกระแส
พระธรรมเทศนานั้น จิตก็หลุดพ้นจากอาสวกิเลส ที่บุคคลจัดให้คนอื่น ส่วน ทีฆนขะ ตั้งอยู่ใน
โสดาปัตติผล แสดงตนเป็นอุบาสก ในพระพุทธศาสนา

  • ได้รับยกย่องในทางผู้มีปัญญา
    เมื่อพระสารีบุตร ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด
    สามารถแสดงพระธรรมจักรกัปวัตนสูตร และอริยสัจ ๔ ได้เหมือนพระพุทธองค์ และเป็นกำลัง
    สำคัญของพระบรมศาสดา ในการประกาศเผยแผ่พระศาสนา ดังนั้น ขณะที่พระพุทธองค์
    ประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์นั้น ได้ทรงประกาศยกย่อง พระสารีบุตร ในท่ามกลางสงฆ์ ทรงแต่ง
    ตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้มีปัญญา และทรงแต่งตั้งให้
    ดำรงตำแหน่ง พระอัครสาวงเบื้องขวา


นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังทรงยกย่องพระสารีบุตรเถระ อีกหลายประการกล่าวคือ
๑. เป็นผู้มีปัญญาอนุเคราะห์เพื่อนบรรพชิตด้วยกัน เช่น สมัยที่พระบรมศาสดาประทับ
อยู่ที่เมืองเทวทหะ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลลาไปปัจฉาภูมิชนบททรงรับสั่งให้ไปลาพระสารีบุตร
ก่อน เพื่อท่านจะได้แนะนำสั่งสอน มิให้เกิดความเสียหายในระหว่างการเดินทางและในสถานที่
ที่ไปนั้นด้วย
๒. ยกย่องท่านเป็น “พระธรรมเสนาบดี” ซึ่งคู่กับ “พระธรรมราชา” คือ พระองค์เอง
๓. ยกย่องท่านเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที เป็นเลิศ เช่น ท่านนับถือ พระอัสสชิเป็น
อาจารย์ เพราะท่านเข้ามาสู่พระพุทธศาสนาด้วยการฟังธรรมจากพระอัสสชิ ทุกคืนก่อนที่ท่านจะ
นอน ท่านได้ทราบข่าวว่าพระอัสสชิอยู่ทางทิศใด ท่านจะนมัสการไปทางทิศนั้น ก่อนแล้วจึง
นอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น
อีกเรื่องหนึ่ง คือ พราหมณ์ชราชื่อ ราธะ มีศรัทธาจะอุปสมบท แต่ไม่มีภิกษุรูปใดรับ
เป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ พระพุทธองค์ตรัสถามในที่ประชุมสงฆ์ว่า “ผู้ใดระลึกถึงอุปการคุณ
ของพราหมณ์นี้ได้บ้าง” พระสารีบุตรเถระกราบทูลว่า “ระลึกได้ คือ ครั้งหนึ่งราธพราหมณ์ผู้นี้
ได้เคยใส่บาตร ด้วยข้าวสุกแก่ท่านหนึ่งทัพพี” พระพุทธองค์จึงทรงมอบให้ท่านสารีบุตร เป็น
พระอุปัชฌาย์อุปสมบทให้แก่ ราธพราหมณ์

  • ถูกภิกษุหนุ่มฟ้อง
    พระเถระนับว่าเป็นผู้มีขันติธรรมความอดทนสูงยิ่ง มีจิตสงบราบเรียบ ไม่หวั่นไหว ด้วย
    อารมณ์ต่าง ๆ ดังเรื่องในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต และในธรรมบทว่า:-
    สมัยหนึ่ง พระเถระ เมื่อออกพรรษาแล้วมีความประสงค์จะเที่ยวจาริกไปยังชนบทต่าง ๆ
    กราบทูลลาพระผู้มีพระภาคแล้ว ออกจากพระเชตวนาราม พร้อมกับภิกษุผู้เป็นบริวารของท่าน
    ขณะนั้น ก็มีภิกษุอีกจำนวนมากออกมาส่งพระเถระ และพระเถระก็ทักทายปราศรัยกับภิกษุเหล่า
    นั้น ด้วยอัธยาศัยไมตรีก่อให้เกิดความปีติยินดีแก่พวกเธอเป็นอย่างยิ่ง แต่มีภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งพระ
    เถระไม่ทันได้สังเกตเห็นจึงมิได้ทักทายด้วย ก็เกิดความน้อยใจและโกรธพระเถระบังเอิญชายฝ้า
    สังฆาฏิของพระเถระ ไปกระทบภิกษุรูปนั้นเข้า โดยที่พระเถระไม่ทราบ ภิกษุรูปนั้นจึงถือเอา
    เหตุนี้เข้าไปกราบทูลฟ้องต่อพระบรมศาสดาว่า
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสารีบุตรเถระ เดินกระทบข้าพระองค์แล้วไม่กล่าวขอโทษ
    เพราะด้วยสำคัญว่าตนเป็นอัครสาวกของพระพุทธองค์พระเจ้าข้า”
    พระพุทธองค์ แม้จะทรงทราบเป็นอย่างดี แต่เพื่อให้เรื่องนี้ปรากฏแก่ที่ประชุมสงฆ์ จึง
    รับสั่งให้พระเถระเข้าเฝ้าแล้วตรัสถามเรื่องราวโดยตลอด

เปรียบตนด้วยอุปมา ๙ อย่าง
พระเถระมิได้กราบทูลปฏิเสธโดยตรงในที่ประชุมสงฆ์นั้น แต่ได้อุปมาเปรียบเทียบตน
เองเหมือนสิ่งของ ๙ อย่าง คือ:-
? เหมือนดิน-น้ำ-ไฟ-ลม ซึ่งถูกของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้างทิ้งใส่ แต่ก็ไม่รังเกียจ
ไม่เบื่อหน่าย ไม่หวั่นไหว
? เหมือนเด็กจัณฑาล ที่มีความสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่เสมอเวลาเข้าไปยังสถานที่
ต่าง ๆ
? เหมือนโค ที่ถูกตัดเขา ฝึกหัดมาดีแล้ว ย่อมไม่ทำร้ายใคร ๆ
? เหมือนผ้าขี้ริ้ว สำหรับเช็ดฝุ่นละอองของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง
? เบื่อหน่ายอึดอัดกายของตน เหมือนซากงู (ลอกคราบ)
? บริหารกายของตน เหมือนคนแบกหม้อน้ำมันที่รั่วทะลุ จึงมีน้ำมันไหลออกอยู่
เมื่อพระเถระ กราบทูลอุปมาตนเองเหมือนเด็กจัณฑาล เหมือนผ้าชี้ริ้ว เป็นต้น ภิกษุ
ปุถุชนถึงกับตื้นตัน ไม่อาจอดกลั้นน้ำตาได้ พระขีณาสพก็เกิดธรรมสังเวช ส่วนภิกษุผู้กล่าวฟ้อง
ก็เกิดความเร่าร้อนขึ้นในกาย หมอบกราบลงแทบพระบาทของพระศาสดา แล้วกล่าวขอขมาโทษ
ต่อพระเถระ

  • พระเถระถูกพราหมณ์ตี
    พระเถระผู้เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติคุณธรรมต่าง ๆ ชื่อเสียงฟุ้งขจรไปทั่วชมพูทวีป หมู่
    มนุษย์ทั้งหลายพากันยกย่องสรรเสริญในจริยาวัตรของท่าน คุณธรรมอันเป็นเลิศอีกประการหนึ่ง
    ของพระเถระก็คือ ความไม่โกรธ ไม่มีใครจะสามารถทำให้ท่านโกรธได้ แม้ท่านจะถูกพวก
    มิจฉาทิฏฐิตำหนิ ด่าหรือตีท่านก็ไม่เคยโกรธ ได้มีพราหมณ์คนหนึ่งต้องการจะทดลองคุณธรรม
    ของท่านว่าจะสมจริงดังคำร่ำลือหรือไม่
    วันหนึ่ง พระเถระ กำลังเดินบิณฑบาตในหมู่บ้าน พราหมณ์นั้นได้โอกาสจึงเดินตามไป
    ข้างหลังแล้วใช้ฝ่ามือตีเต็มแรงที่กลางหลังพระเถระ
    พระเถระ ยังคงเดินไปตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่แสดงอาการแม้สักว่าเหลียว
    กลับมามองดู
    ขณะนั้น ความเร่าร้อนเกิดขึ้นทั่วสรีระของพราหมณ์นั้น เขาตกใจมากรีบหมอบกราบลง
    แทบเท้าของพระเถระ พร้อมกับกล่าววิงวอนให้พระเถระ ยกโทษให้ พระเถระจึงถามว่า:-
    “ดูก่อนพราหมณ์ นี่อะไรกัน ?"
    “ข้าแต่พระคุณเจ้า กระผมตีท่านที่ข้างหลังเมื่อสักคู่นี้ ขอรับ”
    “ดูก่อนพราหมณ์ เอาล่ะ ช่างเถิด เรายกโทษให้”
    “ข้าแต่พระคุณเจ้า ถ้าท่านยกโทษให้กระผมจริง ก็ขอให้ท่านเข้าไปฉันภัตตาหารใน
    บ้านของกระผมด้วยเถิด”
    พระเถระ ส่งบาตรให้พราหมณ์นั้นแล้วเดินตามเข้าไปฉันภัตตาหารในบ้านของพราหมณ์
    ตามคำอาราธนา
    คนทั้งหลายเห็นพราหมณ์ตีพระเถระแล้ว ก็รู้สึกโกรธ จึงพากันมายืนรอโอกาสเพื่อจะทำ
    ร้ายพราหมณ์นั้น พระเถระเมื่อเสร็จภัตกิจแล้วส่งบาตรให้พราหมณ์ถือเดินตามออกมา คนทั้ง
    หลายเห็นพราหมณ์นั้นถือบาตรเดินตามพระเถระออกมาก็ไม่กล้าทำอะไร ได้แต่พากันพูดว่า
    “พระเถระถูกพราหมณ์ตีแล้วยังเข้าไปฉันภัตตาหารในบ้านของเขาอีก” พระเถระเห็นหมู่คนมี
    ท่อนไม้ในมือยืนรอกันอยู่จึงถามว่า:-
    “ดูก่อนท่านทั้งหลาย นี่เรื่องอะไรกัน ?”
    “ข้าแต่พระคุณเจ้า พราหมณ์ผู้นี้ตีท่าน ดังนั้น พวกเราจะทำร้ายเขาเพื่อเป็นการทำโทษ
    เขา ขอรับ”
    “ก็พราหมณ์ผู้นี้ ตีพวกท่านหรือตีอาตมาเล่า ?”
    “ตีพระคุณเจ้า ขอรับ”
    “เมื่อเขาตีอาตมา และอาตมาก็ยกโทษให้เขาแล้ว ดังนั้น โทษคือความผิดของเขาตึงไม่มี
    พวกท่านจะทำโทษเขาด้วยเรื่องอะไร ?”
    พวกคนเหล่านั้น ฟังคำของพระเถระแล้ว ไม่มีคำพูดอะไรที่จะนำมาโต้แย้งได้ จึงพากัน
    หลีกไป

  • พระเถระถูกนันทกยักษ์ทุบ
    สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ส่วนพระ
    ธรรมเสนาบดีสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานเถระ อัครสาวกทั้งสองได้ปลีกตัวจาริกไปอยู่ ณ
    กโปตกันทราวิหาร (วิหารที่สร้างใกล้ซอกเขาซึ่งเป็นที่อยู่ของนกพิราบ)
    ในดิถีคืนเดือนเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง พระสารีบุตรเถระซึ่งปลงผมใหม่ ๆ นั่งเข้าสมาธิ
    อยู่ในที่กลางแจ้ง ขณะนั้นมียักษ์ ๒ ตน ผ่านมาทางนั้น ยักษ์อีกตนหนึ่ง เป็นสัมมาทิฏฐิ เคารพ
    เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ยักษ์นันกะ เห็นพระเถระแล้วนึกอยากจะตีที่ศีรษะของท่านจึงบอก
    ความประสงค์ของตากับสหาย แม้ยักษ์ผู้เป็นสหายจะกล่าวห้ามปรามถึง ๓ ครั้งว่า:-
    “อย่าเลยสหาย อย่าทำร้ายสมณศากยบุตรพุทธสาวกเลย สมณะรูปนี้มีคุณธรรมสูงยิ่งนัก
    มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก”
    ยักษ์นันทกะ ไม่เชื่อคำห้ามปรามของสหาย ใช้ไม้กระบองตีพระเถระ ศีรษะอย่างเต็ม
    แรง ซึ่งความแรงนั้นสามารถทำให้ช้างสูง ๘ ศอก จมดินได้ หรือสามารถทำลายยอดภูเขาขนาด
    ใหญ่ให้ทลายลงได้ และในทันใดนั้นเอง เจ้ายักษ์มิจฉาทิฏฐิ ตนนั้นก็ร้องลั่นว่า “โอ๊ย ! ร้อนเหลือ
    เกิน” พอสิ้นเสียงร่างของมันก็จมลงในแผ่นดิน เข้าไปสู่ประตูมหานรกอเวจี ณ ที่นั้นเอง
    เหตุการณ์ครั้งนี้ พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้เห็นโดยตลอด ด้วยทิพยจักษุ รุ่งเช้าจึง
    เข้าไปหาพระสารีบุตรแล้วถามว่า:-
    “ท่านสารีบุตร ยังสบายดีอยู่หรือ ที่ยักษ์ตีท่านนั้น อาการเป็นอย่างไรบ้าง ?”
    “ท่านโมคคัลลานะ ผมสบายดี แต่รู้สึกเจ็บที่ศีรษะนิดหน่อย”
    พระมหาโมคคัลลานะ ได้ฟังแล้วก็กล่าวว่า “น่าอัศจรรย์จริง ๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
    ท่านสารีบุตรนี่มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากจริง ๆ ถูกยักษ์ตีรุนแรงขนาดนี้ ยังบอกว่าเพียงแต่เจ็บที่
    ศีรษะนิดหน่อย”
    ส่วนพระสารีบุตร ก็กล่าวชมพระมหาโมคคัลลานะว่า “ช่างน่าอัศจรรย์ เช่นกัน ท่าน
    โมคคัลลานะ ท่านก็มีฤทธานุภาพมากหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ท่านเห็นแม้กระทั่งยักษ์ ส่วนผมเอง
    แม้แต่ปีศาจคลุกฝุ่นสักตน ก็ยังไม่เคยเห็นเลย”
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงสดับเสียงการสนทนาของพระเถระทั้งสอง ด้วยพระโสต
    ทิพย์ จึงทรงเปล่งพุทธอุทานนี้ว่า:-
    “ผู้ใดมีจิตตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวดุจภูเขา
    ไม่กำหนัดในอารมณ์อันชวนให้กำหนัด
    ไม่ขัดเคืองในอารมณ์อันชวนให้ขัดเคือง
    ผู้อบรมจิตได้อย่างนี้ ความทุกข์จะมีได้อย่างไร”
  • เป็นต้นแบบการทำสังคายนา
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เมืองปาวา ของเจ้ามัลละทั้งหลาย พระพุทธ
    องค์รับสั่งให้พระสารีบุตรแสดงธรรมแก่หมู่ภิกษุสงฆ์ที่มากระชุมกัน พระเถระเห็นเป็นโอกาส
    อันเหมาะสม จึงยกเรื่องที่เพิ่มเกิดขึ้นแก่พวกนิครนถ์ ซึ่งทะเลอะวิวาทกันด้วยเรื่องความเห็นไม่
    ลงรอยกันเกี่ยวกับคำสอนของอาจารย์ผู้ล่วงลับไปแล้ว ขึ้นมาเป็นมูลเหตุ แล้วกล่าวแก่พระสงฆ์
    ในสมาคมนั้นว่า
    “ดูก่อนท่านทั้งหลาย บรรดาธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว ท่านทั้งหลายถึงร้อย
    กรองให้เป็นหมวดหมู่ ไม่ควรทะเลอะวิวาทกันด้วยธรรมนั้น เพื่อให้พรหมจรรย์อยู่ยั่งยืนตลอด
    กาลนาน อันจะนำมาซึ่งประโยชน์สุขแก่ชนหมู่มาก เป็นการอนุเคราะห์แก่สัตว์โลก”
    แล้วพระเถระ ก็จำแนกหัวข้อธรรมออกเป็นหมวดใหญ่ ๆ ได้ ๑๐ หมวด สะดวกแก่การ
    จดจำและสาธยาย และจัดเป็นหมวดย่อย ๆ อีกเพื่อมิให้สับสนแก่พุทธบริษัทในการที่จะนำไป
    ปฏิบัติ นับว่าพระเถระ เป็นผู้มองการณ์ไกล ป้องกันความสับสนแตกแยกของพุทธบริษัทในภาย
    หลัง และการกระทำของพระเถระ ในครั้งนี้ ได้เป็นแบบอย่างของการทำสังคายนาหลังพุทธ
    ปรินิพพานสืบต่อมา

  • พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรนิพพาน
    ในปัจฉิมโพธิกาล ขณะที่พระบรมศาสดาประทับ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี
    พระสารีบุตรถวายวัตปฏิบัติแด่พระบรมศาสดาแล้ว กราบทูลลาไปสู่ที่พักของตนนั่งสมาธิเข้า
    สมาบัติ เมื่อออกจากสมาบัติแล้วพิจารณาตรึกตรองว่า “ธรรมดาประเพณีแต่โบราณมา พระบรม
    ศาสดาทรงนิพพานก่อน หรือพระอัครสาวกนิพพานก่อน” ก็ทราบแน่ชัดในใจว่า “พระอัครวาวก
    นิพพานก่อน”
    จากนั้นได้พิจารณาอายุสังขารของตนเองก็ทราบว่า “จะมีอายุดำรงอยู่ได้ อีก ๗ วัน เท่า
    นั้น” จึงพิจารณาต่อไปว่า “เราควรจะไปนิพพานที่ไหนดีหนอ และพระเถระ ก็นึกถึงพระราหุล
    ว่า พระราหุล ไปนิพพานที่ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ที่ดาวดึงส์เทวโลก
    พระอัญญาโกณฑัญญะ ไปนิพพานที่สระฉัททันต์ ป่าหิมพานต์” ลำดับนั้น พระเถระได้ปรารภ
    ถึงมาดาของตนว่า:-
    “มารดาของเรานี้ ได้เป็นมารดาของพระอรหันต์ถึง ๗ องค์ ถึงกระนั้นก็ยังไม่เลื่อมใสใน
    พระรัตนตรัย แล้วอุปนิสัยมรรคผลจะพึงมีแก่มารดาของเราบ้างหรือไม่หนอ”
    ครั้นพระเถระพิจารณาไปก็ได้ทราบว่า “มารดานั้นมีอุปนิสัยแห่งพระโสดาบัน” จึงตก
    ลงใจที่จะไปนิพพานที่บ้านของตน เพื่อโปรดมารดาเป็นวาระสุดท้าย
    เมื่อคิดดังนี้แล้ว พระเถระได้สั่งให้พระจุนทะ ผู้เป็นน้องชาย ให้ไปแจ้งแก่ภิกษุทั้งหลาย
    ผู้เป็นศิษย์ว่า “จะไปเยี่ยมมารดาที่นาลันทา ขอให้ภิกษุทั้งหลายเตรียมบริขารให้พร้อม เพื่อเดิน
    ทางไปด้วยกัน” จากนั้นพระเถระ ก็ทำความสะอาดปัดกวาดกุฏิที่พักอาศัยของตน แล้วออกมายืน
    ดูข้างนอก พลางกล่าวว่า “การได้เห็นที่พักอาศัยครั้งนี้เป็นปัจฉิมทัศนา โอกาสที่จะได้กลับมา
    เห็นอีกนั้นไม่มีอีกแล้ว” เมื่อพระสงฆ์มาพร้อมกันแล้ว พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ก็พาพระ
    สงฆ์เหล่านั้นไปเฝ้าพระบรมศาสดา กราบทูลลาว่า:-
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บัดนี้ ชีวิตของข้าพระองค์เหลืออีก ๗ วัน เท่านั้น ข้าพระองค์ขอ
    ถวายบังคมลาปรินิพพาน ขอพระองค์ทรงพระกรุณาอนุญาตให้ข้าพระองค์สละอายุสังขารใน
    ครั้งนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
    “สารีบุตร เธอจะไปนิพพานที่ไหน ?”
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์จะไปนิพพาน ณ ห้องที่ข้าพระองค์เกิดในเมืองของ
    มารดา พระเจ้าข้า”
    “สารีบุตร เธอจงกำหนดการนั้นโดยควรเถิด สารีบุตร บรรดาภิกษุน้อย ๆ ของเธอ จะ
    ได้เห็นพี่ชายดุจเธอนั้นได้ยากยิ่ง เธอจงแสดงธรรมอันเป็นที่ต้องแห่งความระลึกแก่ภิกษุน้อง ๆ
    ของเธอเหล่านั้นเถิด”
    พระเถระเมื่อได้รับพุทธประทานโอกาสเช่นนั้น จึงแสดงปาฏิหาริย์ เหาะขึ้นไปบน
    อากาศสูง ๑ ชั่วลำตาล จนถึง ๗ ชั่วลำตาลโดยลำดับ แล้วกลับลงมาถวายบังคมพระบรมศาสดา
    ในแต่ละครั้ง จากนั้นจึงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย ณ ท่ามกลางอากาศแล้วลงมาถวายบังคมลา
    พระผู้มีพระภาค คลานถอยออกจากพระคันธกุฎี
    ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จลุกออกมาส่งพระเถระ ถึงหน้า
    พระคันธกุฎี พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร กระทำประทักษิณเวียน ๓ รอบ ประคองอัญชลี
    นมัสการทั้ง ๔ ทิศ พลางกราบทูลลาว่า:-
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในที่สุดอสงไขยแสนกัปล่วงมาแล้ว ข้าพระองค์ได้หมอบลง
    แทบพระบาทแห่งอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตั้งปณิธานปรารถนาพบพระองค์ และแล้ว
    มโนรถของข้าพระพุทธเจ้า ก็สำเร็จสมประสงค์ ตั้งแต่ได้เห็นพระองค์เป็นปฐมทัศนา บัดนี้ การ
    ได้เห็นพระองค์ ผู้เป็นนาถะของข้าพระพุทธเจ้าเป็นปัจฉิมทัศนา โอกาสที่จะได้เห็นพระองค์ ไม่
    มีอีกแล้ว”
    พระเถระ กราบทูลเพียงเท่านี้แล้ว ถวายบังคมออกไปได้ระยะพอสมควรก้มกราบ
    นมัสการลงที่พื้นพสุธา บ่ายหน้าออกจากพระเชตะวันมหาวิหารพร้อมด้วยภิกษุผู้เป็นบริวาร
    ๕๐๐ องค์ ท่านพระเถระเดินทาง ๗ วัน ก็ถึงบ้านนาลันทา หยุดพักภายใต้ร่มไม้ใกล้หมู่บ้านนั้น
    และในเย็นวันนั้น อุปเรวัตตกุมาร ผู้เป็นหลานชายของท่าน ออกมานอกบ้านพบท่านแล้วจึงเข้า
    ไปนมัสการ พระเถระสั่งหลานชายให้ไปแจ้งแก่โยมมารดาให้ทราบว่า “ขณะนี้ท่านมาพักอยู่
    นอกบ้าน ให้จัดห้องที่ท่านเกิดไว้ให้ท่านด้วย”
    ฝ่ายนางพราหมณี มารดาของพระเถระได้ทราบข่าวก็ดีใจคิดว่า “ลูกชายบวชตั้งแต่หนุ่ม
    คงจะเบื่อหน่ายแล้วมาสึกเอาตอนแก่” จึงสั่งให้คนรีบจัดห้องให้พระลูกชายพัก และสถานที่
    สำหรับพระสงฆ์ที่ติดตามมาด้วยเหล่านั้น เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงให้อุปเรวัตตกุมารไปนิมนต์
    พระเถระพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เข้ามาในบ้าน

  • เทศน์โปรดโยมแม่แล้วนิพพาน
    ในราตรีนั้น พระเถระเกิดอาพาธอย่างแรงกล้า ถึงกับอาเจียนและถ่ายออกมาเป็นโลหิต
    แต่ก็อดกลั้นด้วยขันติธรรม ได้แสดงธรรมโปรดมารดาพรรณา พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ
    และพระสังฆคุณ ยังมารดาให้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา
    ได้ชื่อว่ากระทำปฏิการะสนองคุณมารดาดังที่ตั้งใจมา ปิดประตูนรก เปิดประตูสวรรค์ ให้แก่
    มารดาได้สำเร็จ
    ลำดับนั้น พระเถระบอกให้โยมมารดาออกไปข้านอกแล้วถามพระจุนทะน้องชายว่า
    “ขณะนี้เวลาล่วงราตรีสู่ยามที่เท่าไร ?” พระจุนทะน้องชายตอบว่า “ใกล้รุ่งสว่างแล้ว” จึงสั่งให้
    ไปบอกแก่ภิกษุทั้งหลายให้มาประชุมพร้อมกัน เมื่อทุกท่านมาพร้อมแล้ว ขอให้พระจุนทะช่วย
    พยุงกายลุกขึ้นนั่งแล้วกล่าวว่า:-
    “ดูก่อนอาวุโส ท่านทั้งหลายติดตามข้าพเจ้ามาเป็นเวลา ๔๔ พรรษา แล้ว กายกรรม
    และวจีกรรมอันใดของเรา ที่ท่านทั้งหลายมิชอบใจหากจะพึงมีขอท่านทั้งหลาย จงงดอดโทษ
    กรรมอันนั้นแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด”
    ภิกษุทั้งหลาย ผู้เป็นศิษย์ ตอบพระเถระว่า:-
    “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลาย ติดตามท่านดุจเงาตามตัว มาตลอดกาลประมาณ
    เท่านี้ กรรมอันใดของท่านที่มิชอบใจแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายนั้นไม่มีเลย แต่หากว่าข้าพเจ้าทั้งหลาย
    มีความประมาทพลาดพลั้ง ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งต่อพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ขอท่านจงงดอดโทษานุโทษนั้น
    แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด”
    เมื่อแสงเงินแสงทอง อันเป็นสัญญาณแห่งรุ่งอรุณปรากฏขึ้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร
    ก็ดับขันธปรินิพพาน ในวันปุรณมีขึ้น ๑๕ ค่ำ เพ็ญเดือน ๑๒
    ครั้นเมื่อสว่างดีแล้ว พระจุนทะพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์และหมู่ญาติ ประกอบพิธีคารวะศพ
    พระเถระแล้วนำไปสู่เชิงตะกอนทำพิธีฌาปนกิจ เมื่อเพลิงดับแล้วพระจุนทะได้นำอัฐิธาตุ และ
    บริขารคือบาตรและจีวรของพระสารีบุตร ไปถวายแด่พระพุทธองค์ ซึ่งก็รับสั่งให้สร้างเจดีย์
    บรรจุอัฐิพระเถระที่ซุ้มประตู แห่งพระเชตะวันมหาวิหารนั้น

04-พระมหาโมคคัลลานเถระ

04-พระมหาโมคคัลลานเถระ
เอตทัคคะในทางผู้มีฤทธิ์

พระมหาโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหมณ์นายบ้านในหมู่บ้านโกลิตคาม ได้ชื่อว่า
“โกลิตะ” ตามชื่อของหมู่บ้าน มารดาชื่อ โมคคัลลี คนทั่วไปจึงเรียกท่านว่า “โมคคัลลานะ”
ตามชื่อของมารดา ท่านเป็นสหายที่รักกันมากับอุปติสสมาณพ เที่ยวแสวงหาความสุขความ
สำราญ ตามประสาวัยรุ่น และพ่อแม่มีฐานะร่ำรวย นอกจากนี้ยังมีอุปนิสัยใจคอเหมือนกัน และ
ยังได้ออกบวชพร้อมกันอีกด้วย (ประวัติเบื้องต้นของท่านถึงศึกษาจากประวัติของพระสารีบุตร)

  • ทรงแสดงอุบายแก้ง่วงแก่พระโมคคัลลานะ
    พระมหาโมคคัลลานะ เมื่ออุปสมบทได้ ๗ วัน ได้ไปทำความเพียรอยู่ที่ป่าใกล้บ้านกัลป์
    ลาวาลมุตตาคาม แขวงมคธ ถูกถีนมิทธารมณ์ คือ ความง่วงเหงาเข้าครอบงำ ไม่สามารถจะทำ
    ความเพียรได้ ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ สวนเภสกลาวัน ซึ่งเป็นสถานที่ให้เหยื่อ
    แก่เนื้อ ใกล้เมืองสุงสุมารคิรี อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นภัคคะ ทรงทราบด้วยพระญาณว่าพระ
    โมคคัลลานะ โงกง่วงอยู่ จึงทรงทำปาฏิหาริย์ให้เห็นปรากฏ ประหนึ่งว่าเสด็จประทับอยู่ตรงหน้า
    ทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วงแก่เธอตามลำดับ ดังนี้:-
    ๑. โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างใดแล้ว เกิดความง่วงขึ้น เธอจงทำไว้ในใจซึ่ง
    สัญญาอย่างนั้นให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
    ๒. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้เรียนมาแล้ว ได้ฟังมาแล้วให้มาก จะ
    เป็นเหตุให้ละความง่วงได้
    ๓. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้มากจะเป็นเหตุให้ละ
    ความง่วงได้
    ๔. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรยอนช่วงหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ายมือจะเป็นเหตุให้ละ
    ความง่วงได้
    ๕. ถ้ายังละไม่ได้ เธอจงลุกขึ้นแล้วลูบนัยน์ตา ลูบหน้าด้วยน้ำเหลียวดูทิศทั้งหลาย
    แหงนดูดาว จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
    ๖. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรทำไว้ในใจถึงอาโลกสัญญา ถือ กำหนดความสว่างไว้ในใจ
    เหมือนกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำใจให้เปิด ให้สว่าง จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
    ๗. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรเดินจงกรมสำรวมอินทรีย์ มีจิตใจไม่คิดไปภายนอก จะเป็น
    เหตุให้ละความง่วงได้
    ๘. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เลื่อมกัน มี
    สติสัมปชัญญะ หมายใจว่าจะลุกขึ้นเป็นนิตย์ เมื่อตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า เราจะไม่
    ประกอบความสุขในการนอนและการเคลิ้มหลับอีกจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
    พระพุทธองค์ ตรัสสอนอุบายเพื่อบรรเทาความง่วงโดยลำดับจนที่สุดถ้ายังไม่หายง่วงก็
    ให้นอน แต่ให้นอนอย่างมีสติ เมื่อปรานอุบายแก้ง่วงดังนี้แล้วได้ประทานพระโอวาทอีก ๓ ข้อ
    คือ:-
    ๑. โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจะไม่ชูงวง คือ ความถือตัวว่าเราเป็นนั่น เป็น
    นี่ เข้าไปสู่สกุล เพราะถ้าภิกษุถือตัวเข้าไปสู่สกุลด้วยคิดว่าเขาจะต้องต้อนรับเราอย่างนั้น อย่างนี้
    ถ้าคนในสกุลเขามีการงานมาก ก็จะเกิดอิดหนาระอาใจ ถ้าเขาไม่ใส่ใจต้องรับ เธอก็จะเก้อเขินคิด
    ไปในทางต่าง ๆ เกิดความฟุ้งซ่านไม่สำรวม จิตก็จะห่างจากสมาธิ
    ๒. โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจักไม่พูดคำอันเป็นเหตุเถียงกันเพราะถ้าเถียง
    กันก็จะต้องพูดมาก และผิดใจกัน เป็นเหตุให้ฟุ้งซ่านไม่สำรวม และจิตก็จะห่างจากสมาธิ
    ๓. โมคคัลลานะ ตถาคตไม่สรรเสริญการคลุกคลีด้วยประการทั้งปวง แต่ก็ไม่ตำหนิ
    การคลุกคลีไปทุกอย่าง คือ เราไม่สรรเสริญการคลุกคลีกับหมู่ชน ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต แต่
    เราสรรเสริญการคลุกคลีด้วยเสนาสนะ อันสงบสงัดปราศจากเสียงอื้ออึง ควรแก่การหลีกเร้นอยู่
    ตามสมณวิสัย

ลำดับนั้น พระมหาโมคคัลลานะ ได้กราบทูลถามถึงข้อปฏิบัติอันเป็นธรรมชักนำไปสู่
การสิ้นตัณหา เกษมจากโยคะคือกิเลสเครื่องประกอบให้จิตติดอยู่
พระพุทธองค์ ตรัสสอนในเรื่องธาตุกรรมฐาน โดยใจความว่า “ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เมื่อได้สดับว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ก็ควรกำหนดธรรมเหล่านั้น ในยามเมื่อเสวยเวทนา
อันเป็นสุขหรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง และให้พิจารณาดังปัญญา อัน
ประกอบด้วยความหน่าย ความดับ และความไม่ยึดมั่น จิตก็จะพ้นจากอาสวกิเลส เป็นผู้รู้ว่า
ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว”
พระมหาโมคคัลลานะ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านเป็นกำลังสำคัญของพระ
ศาสนา ช่วยแบ่งเบาภารกิจ และยังพุทธดำริต่าง ๆ ให้สำเร็จด้วยดี เพราะท่านมีฤทธิ์มีอานุภาพยิ่ง
กว่าพระสาวกรูปอื่น ๆ จนได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดา แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง พระ
อัครสาวกเบื้องซ้าย โดยทรงยกย่องให้เป็นอัครสาวกคู่กับพระสารีบุตรว่า:-
“พระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดบุตร
พระโมคคัลลานะ เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เปรียบเสมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดมาแล้ว
พระสารีบุตร ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระโมคคัลลานะ ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณ
เบื้องสูงขึ้นไป”
นอกจากนี้ พระมหาโมคคัลลานะ ยังเป็นผู้มีความสามารถในการ นวกรรม คือ งานก่อ
สร้าง พระบรมศาสดาเคยทรงมอบหมายให้ท่านรับหน้าที่ นวกัมมาธิฏฐายี คือ ผู้ควบคุมดูแลการ
ก่อสร้างวิหารบุพพาราม ที่เมืองสาวัตถี ซึ่งนางวิสาขาบริจาคทรัพย์สร้างถวายอีกด้วย

  • พระเถระมีความสามารถในทางอิทธิปาฏิหาริย์
    พระมหาโมคคัลลานะ เมื่อบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วปรากฏว่าท่านมีความ
    สามารถโดดเด่นในทางอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นเลิศ กว่าภิกษุทั้งหลาย ท่านสามารถแสดงฤทธิ์ ไปยัง
    ภูมิของสัตว์นรก และไปโลกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ได้ ท่านได้พบเห็นสัตว์นรกในขุมต่าง ๆ ที่ได้เสวย
    ความสุขจากการทำบุญไว้ในเมืองมนุษย์เช่นกัน ท่านได้นำข่าวสารของสัตว์นรกและของ
    เทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้น มาแจ้งแก่บรรดาญาติและชนทั้งหลายให้ทราบ ทำให้บรรดาญาติและ
    ชนเหล่านั้นพากันละเว้นกรรมชั่วลามกอันจะพาตนไปเสวยผลกรรมในนรก พากันสร้างบุญกุศล
    อันจะนำตนไปสู่สุคติโลกสวรรค์ และพร้อมกันนั้นก็พากันทำบุญอุทิศไปให้แก่ญาติของตน เหล่า
    ชนบางพวกที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็พากันละทิ้งลัทธิศาสนาเดิมมาศรัทธา
    เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น ทำให้พวกเดียรถีย์ทั้งหลายต้องเสื่อมจากลาภสักการะ เป็น
    อยู่ลำบากอดอยากขึ้นเรื่อย ๆ
    เรื่องที่พระเถระไปเยี่ยมชมโลกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ นั้นมีเรื่องกล่าวไว้ในคัมภีร์ธรรมบท
    หมวดปิยวรรคและโกธวรรคว่า
    วันหนึ่ง พระเถระได้ขึ้นไปยังดาวดึงส์โลกสวรรค์ ด้วยอริยฤทธิ์ ได้เห็นปราสาทหลัง
    หนึ่ง มีแสงแวววาวด้วยแก้วนานาประการ มีขนาดใหญ่ทั้งกว้าง ทั้งสูง มีนางเทพธิดาอยู่ใน
    ปราสาทนั้นจนเนืองแน่น พระเถระจึงถามว่า
    “แม่เทพธิดา วิมานนี้เป็นของใคร (เกิดขึ้นเพื่อใคร) ?"
    “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ วิมานนี้เกิดขึ้นเพื่อนันทิยะ ผู้สร้างศาล ๔ มุข ๔ห้อง ถวาย
    พระบรมศาสดา พวกดิฉันมาเกิดในที่นี้ก็ด้วยหวังว่าจะได้เป็นบาทจาริกาของนันทิยะนั้น แต่จน
    บัดนี้ก็ยังไม่พบนันทิยะ เพราะท่านยังไม่ละอัตภาพจากโลกมนุษย์เลยขอพระคุณเจ้าได้โปรดนำ
    ข่าวสารไปบอกแก่นันทิยะให้ละอัตภาพมนุษย์อันเปรียบประดุจถาดดิน มาถือเอาอัตภาพอันเป็น
    ทิพย์ ซึ่งเปรียบประดุจถาดทองคำล้ำค่าในโลกสวรรค์นี้ด้วยเถิด เจ้าค่ะ”

อันที่จริง วิมานนั้นได้เกิดขึ้นบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พร้อมกับขณะที่นันทิยมาณพ ได้
สร้างศาลาจัตุรมุขมี ๔ ห้อง ถวายแด่พระบรมพระศาสดาแล้ว หลั่งน้ำทักษิโณทก ตกลงบนฝ่า
พระหัตถ์ของพระบรมศาสดา
พระเถระได้จาริกท่องเที่ยวไปยังสวรรค์ชั้นอื่น ๆ ได้พบเห็นวิมานทองของเหล่าเทพบุตร
เทพธิดาทั้งหลายแล้ว ได้ไต่ถามเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้นว่า ทำบุญอะไร ทานด้วยสิ่งใด จึงได้
เสวยผลบุญ ได้รับทิพยสมบัติวิมานแล้ว วิมานทองอันงดงามยิ่งนัก เช่นนี้
เทพบุตรและเทพธิดาเหล่านั้น ต่างก็รู้สึกละอายที่จะบอกแก่พระเถระเพราะบุญทานที่
พวกตนกระทำนั้นมีประมาณเพียงเล็กน้อย คือ:-
-บางองค์บอกว่า เพียงรักษาคำสัตย์ จึงได้สมบัติคือวิมานนี้
-บางองค์บอกว่า เพียงห้ามความโกรธ จึงได้วิมานนี้
-บางองค์บอกว่า เพียงถวายอ้อยลำเดียว จึงได้วิมานนี้
-บางองค์บอกว่า เพียงถวายมะพลับ, ลิ้นจี่ ฯลฯ ผลเดียว จึงได้วิมานนี้
พระเถระจาริกไปยังสวรรค์ชั้นต่าง ๆ พอสมควรแก่อัธยาศัยแล้วก็กลับมาสู่มนุษย์โลก
นำข่าวสารที่ได้พบเห็นมาแจ้งแก่หมู่ชนทั้งหลาย ซึ่งต่างก็พากันศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธ
ศาสนา ทำบุญสร้างกุศล เพื่อหวังผลอันเป็นสุขสมบัติในปรโลก

  • พระเถระทรมานพญานาค
    สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตของนักบวชนอกพระ
    พุทธศาสนานามว่า “อัคคิทัต” จึงรับสั่งให้พระมหาโมคคัลลานเถระไปอบรมสั่งสอนให้ลดทิฏฐิ
    มานะ ละการถือลัทธินั้นเสีย
    พระเถระรับพระพุทธบัญชาแล้วไปยังสำนักของอัคคิทัต นั้น กล่าวขอที่พักอาศัยสักราตรี
    หนึ่ง แต่อัคคิทัต ปฏิเสธว่าไม่มีสถานที่ให้พัก พระเถระจึงกล่าวต่อไปว่า “อัคคิทัต ถ้าอย่างนั้น เรา
    ขอพักที่กองทรายนั่นก็แล้วกัน”
    ก็ที่กองทรายนั้นมีพญานาคตัวใหญ่มีพิษร้ายแรงอาศัยอยู่ อัคคิทัต เกรงว่าพระเถระจะได้
    รับอันตรายจึงไม่อนุญาต แต่เมื่อพระเถระรบเร้าหนักขึ้นจนต้องยอมอนุญาต พระเถระจึงเดินไป
    ที่กองทรายนั้น พญานาคเห็นพระเถระเดินมารู้ว่าไม่ใช่พวกของตนจึงพ่นควันพิษเข้าใส่พระเถระ
    ฝ่ายพระเถระก็เข้าเตโชกสิณบังหวนควันไฟให้กลับไปทำอันตรายแก่พญานาค ทั้งพระเถระและ
    พญานาคต่างก็พ่นควันพ่นไฟเข้าใส่กันจนเกิดแสงรุ่งโรจน์โชตนาการ พิษควันไฟไม่สามารถทำ
    อันตรายพระเถระได้เลย แต่ทำอันตรายแก่พญานาคฝ่ายเดียว
    อัคคิทัต กับบริวารมองดูแล้วคิดตรงกันว่า “พระเถระคงจะมอดไหม้ในกองเพลิงเสีย
    แล้ว” พร้อมทั้งคิดว่า “สาสมแล้ว เพราะเราห้ามแล้วก็ไม่ยอมเชื่อฟัง”
    รุ่งเช้า อัคคิทัตกับบริวารเดินมาดู ปรากฏว่าพระเถระนั่งอยู่บนกองทราย โดยมีพญานาค
    ขดรอบกองทรายแล้วแผ่พังพานอยู่เหนือศีรษะ พระเถระจึงพากันคิดว่า “น่าอัศจรรย์ สมณะนี้มี
    อานุภาพยิ่งนัก”
    ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึง พระมหาโมคคัลลานเถระ จึงลงจากกองทรายแล้ว
    เข้าไปกราบบังคมทูลอาราธนาให้เสด็จปะทับนั่งบนกองทรายแล้วกล่าวกับอัคคิทัต ว่า “พระพุทธ
    องค์ เป็นศาสดาของข้าพเจ้า ๆ เป็นสาวกของพระพุทธองค์”
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้อัคคิทัตพร้อมทั้งบริวารเลิกละ
    การเคารพบูชาภูเขา ป่า ต้นไม้ และจอมปลวก เป็นต้น ที่พวกตนพากันเคารพบูชาว่าเป็นที่พึ่ง
    อันเกษมสูงสุด ให้หันมาระลึกถึงพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อันเป็น
    สิ่งประเสริฐสุดนำไปสู่การพ้นทุกข์ทั้งปวง
    เมื่อจบพระธรรมเทศนา อัคคิทัต และบริวารได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วยกันทั้งหมด
    แล้วกราบทูบขอบรรพชาในพระพุทธศาสนา พระบรมศาสดาได้ประทานให้ด้วยวิธีเอหิภิกขุ
    อุปสัมปทา
    เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ของพระมหาโมคคัลลานเถระนั้นมีมาก แต่นำมากล่าวไว้ในที่นี้พอ
    เป็นตัวอย่างเพียงเท่านี้

  • พระเถระมีอัธยาศัยใจกว้าง
    พระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมและความสามารถในอิทธิปาฏิหาริย์
    เหนือกว่าพระพุทธสาวกรูปอื่น ๆ แต่ท่านก็เป็นผู้มีอัธยาศัย ใจกว้างไม่กีดกัน ไม่เบียดบังความดี
    ความสามารถของคนอื่น ไม่ฉวยโอกาสชิงความดี ความชอบจากผู้อื่น ดังจะเห็นได้จากเรื่องต่อ
    ไปนี้:-
    สมัยหนึ่ง เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ อยากจะเห็นพรอรหันต์ที่แท้จริงเพราะในเมือง
    ราชคฤห์นั้นมีเจ้าลัทธิหลายสำนัก ซึ่งต่างก็โอ้อวดว่าตนเป็นพระอรหันต์ ทั้ง ๆ ที่การปฏิบัติและ
    หลักคำสอนก็แตกต่างกันเป็นอย่างมาก และหาแก่นสารมิได้ จึงให้บริวารกลึงไม้จันทน์แดง ทำ
    เป็นบาตรแล้วผูกติดปลายไม้ไผ่ต่อกัน หลาย ๆ ลำตั้งไว้แล้วประกาศว่า “ใครเป็นพระอรหันต์ ก็
    จงเหาะมาเอาบาตรใบนี้ไป”
    เจ้าลัทธิทั้งหลายปรารถนาจะได้บาตร แต่ไม่สามารถเหาะมาเอาไปได้ จึงมาเกลี้ยกล่อม
    เศรษฐีให้ยกบาตรให้ตน โดยไม่ต้องเหาะขึ้นไป แต่เศรษฐีก็ยงคงยืนยันว่าต้องเหาะขึ้นไปเอาเอง
    เท่านั้นจึงจะได้
    ขณะนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ กับพระปิณโฑลภารทวาชเถระ กำลังยืนห่มจีวรอยู่
    บนก้อนหินใหญ่ เพื่อเข้าไปบิณฑบาตในเมือง ได้ยินพวกชาวบ้านพูดกันว่า “ในโลกนี้ คงจะไม่มี
    พระอรหันต์ เพราะวันนี้เป็นวันที่ ๗ แล้วท่านเศรษฐีประกาศให้พระอรหันต์เหาะมาเอาบาตร แม้
    แต่ครูทั้ง ๖ ที่โอ้อวดนักหนาว่าเป็นพระอรหันต์ ก็ยังไม่สามารถเหะขึ้นไปเอาบาตรได้เลย เราเพิ่ง
    รู้วันนี้เองว่าพระอรหันต์ไม่มีในโลก”
    พระเถระทั้งสอง ต้องการประกาศให้ประชาชนทั้งหลายรู้ว่าในพระพุทธศาสนามีพระ
    อรหันต์อยู่จริง ดังนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ แม้จะมีฤทธิ์มีอานุภาพมากกว่า มีอายุพรรษา
    มากกว่า แต่อาศัยความที่ท่านเป็นผู้มีใจกว้างมีความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น ต้องการให้คุณของพระเถระ
    รูปอื่นปรากฏบ้าง จึงบอกให้ พระปิณโฑลภารทวาชเถระ เหาะขึ้นไปเอาบาตรนั้นลงมา จน
    เศรษฐีและชาวเมืองพากันแตกตื่นมาดูกันอย่างลาหล
    อีกเรื่องหนึ่ง คือ เมื่อพระบรมศาสดา ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว เสด็จขึ้นไปจำ
    พรรษา ณ ดาวดึงส์เทวโลก มหาชนที่ประชุมกันอยู่ที่นั่นไม่ทราบว่าพระพุทธองค์หายไปไหน จึง
    พากันเข้าไปถามพระมหาโมคคัลลานเถระ
    แม้พระเถระจะทราบเป็นอย่างดี แต่ท่านก็ไม่ตอบโดยตรง กลับบอกให้ไปถาม
    พระอนุรุทธเถระ ทั้งนี้ ก็เพื่อยกย่องคุณความรู้ความสามารถของพระพุทธสาวกรูปอื่น ๆ ให้
    ปรากฏบ้างนั่นเอง

  • พระมหาโมคคัลลานเถระถูกโจรทุบ
    วันเวลาผ่านไปตามลำดับ เข้าสู่ปัจฉิมโพธิกาล ขณะที่ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระพัก
    อยู่ที่กาฬศิลา ในมคธชนบทนั้น
    พวกเดียรถีย์ ทั้งหลาย มีความโกรธแค้นพระมหาโมคคัลลานเถระ เป็นอย่างมาก เพราะ
    ความที่ท่านมีฤทธานุภาพมาก สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ ไปเยี่ยมชมสวรรค์และนรกได้ แล้วนำ
    ข่าวสารมาบอกแก่ญาติมิตรของผู้ไปเกิดในสวรรค์และนรกให้ได้ทราบประชาชนทั้ง หลายจึงพา
    กันเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทำให้พวกเดียรถีย์ ต้องเสื่อมคลายความเคารพนับถือจากประชา
    ชน ลาภสักการะก็เสื่อมลง ความเป็นอยู่ก็ลำบากฝืดเคือง จึงปรึกษากันแล้วมีความเห็นอันเดียว
    กันว่า “ต้องกำจัดพระมหาโมคคัลลานะ เพื่อตัดปัญหา”

ตกลงกันแล้ว ก็เรี่ยไรเงินทุนจากบรรดาศิษย์ และอุปัฏฐากของตนเมื่อได้เงินมาพอแก่
ความต้องการแล้ว ได้ติดต่อจ้างโจรให้ฆ่าพระเถระ พวกโจรใจบาป ได้รับเงินสินบนแล้วพากัน
ไปล้อมจับพระเถระถึงที่พัก แต่พระเถระรู้ตัวและหลบหนีไปได้ถึง ๒ ครั้ง
ในครั้งที่ ๓ พระเถระได้พิจารณาเห็นกรรมเก่า ที่ตนเคยทำไว้ในอดีตชาติติดตามมา และ
เห็นว่ากรรมเก่านั้นทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงยอมให้พวกโจรจับอย่างง่ายดาย และถูกพวกโจรทุบ
ตีจนกระดูกแตกแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี พวกโจรแน่ใจว่าท่านตายแล้ว จึงนำร่างของท่านไปทิ้งใน
ป่าแห่งหนึ่ง แล้วพากันหลบหนีไป

  • บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานเถระ
    ในอดีตชาติ พระมหาโมคคัลลานเถระ เกิดเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ ต่อมาเมื่อเจริญเติบ
    โตขึ้นพ่อแม่ทั้งสองประสบเคราะห์กรรมตาบอดด้วยกันทั้งสองคนเป็นภาระที่ลูก ชายคนเดียว
    ต้องปรนนิบัติเลี้ยงดู การงานทุกอย่างทั้งนอกบ้านในบ้านลูกชายจัดการเป็นที่เรียบร้อย พ่อแม่ทั้ง
    สองมิต้องกังวล
    ต่อมา พ่อแม่เห็นลูกชายอยู่ในวัยที่สมควรจะมีครอบครัวได้แล้ว จึงจัดการสู่ขอหญิงสาว
    ที่มีชาติตระกูลใกล้เคียงกัน ให้มาแต่งงานเป็นคู่ของลูกชายทั้ง ๆ ที่ลูกชายมิได้เต็มใจ เพราะตน
    เองผู้เดียวก็สามารถปฏิบัติเลี้ยงดูบิดามารดาได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อบิดามารดาเป็นภาระจัดการให้
    แล้วก็ไม่ขัดความประสงค์ของท่าน เมื่อแต่งงานแล้วชีวิตครอบครัวที่มีลูกสะใภ้พ่อผัวแม่ผัวอยู่
    ร่วมกันมาในระยะแรก ๆ ก็ราบรื่นสงบสุขเป็นอย่างดี
    เมื่อกาลเวลาผ่านนาน ๆ ไป ลูกสะใภ้ก็เริ่มรังเกียจพ่อผัวแม่ผัวที่ตาบอดด้วยกันทั้งสอง
    คน จึงหาวิธีกำจัดท่านทั้งสองด้วยการยุแหย่สามีให้เกลียดชังพ่อแม่ คือ เมื่อสามีออกทำงานนอก
    บ้านก็แกล้งทำบ้านเรือนให้สกปรกรกรุงรัง เมื่อสามีกลับมาก็ฟ้องว่าพ่อแม่ทั้งสองเป็นผู้กระทำ
    ตนเองไม่สามารถที่จะทนเห็นทนอยู่ผู้เฒ่าตาบอดทั้งสองคนนี้ได้อีกต่อไปแล้ว

ระยะแรก ๆ สามีก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนักได้แต่รับฟังแล้วก็นิ่งเฉยแต่เมื่อภรรยาพูดบ่อย ๆ
และเห็นบ้านเรือนสกปรกมากยิ่งขึ้นจึงเชื่อคำของภรรยา และได้ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับคน
แก่ตาบอดทั้งสองคนนี้ดี
“เอาท่านใส่เกวียนไปฆ่าทิ้งในป่า” ภรรยาเสนอความคิดเห็น
สามีแม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะตนเป็นคนรักและกตัญญูต่อพ่อแม่มาตลอด
แต่เมื่อภรรยารบเร้าไม่รู้จบสิ้น จึงใจอ่อนยอมทำตามที่ภรรยาแนะนำ รุ่งเช้า ได้จัดหาอาหารเลี้ยง
ดูพ่อแม่เป็นอย่างดีแล้วกล่าวว่า:-
“ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ ญาติที่หมู่บ้านโน้นต้องการให้คุณพ่อคุณแม่ไปเยี่ยมพวกเราไปกัน
ในวันนี้เถิด”
ลูกชายให้พ่อแม่นั่งบนเกวียนแล้วออกเดินทาง พอมาถึงกลางป่าส่งเชือกบังคับโคให้พ่อ
ถือไว้แล้วพูดหลอกว่า:-
“คุณพ่อจับปลายเชือกนี้ไว้ โคจะลากเกวียนไปตามทางนี้ ทราบว่าในป่านี้มีพวกโจรซุ่ม
อยู่ ลูกจะลงเดินตรวจดูโดยรอบ”
เมื่อลงเดินได้สักครู่หนึ่ง ก็เปลี่ยนเสียงร้องตะโกนประหนึ่งว่าเสียงโจรดักซุ่มอยู่ แล้วเข้า
มาทุบตีทำร้ายบิดามารดา
ฝ่ายบิดามารดาเชื่อว่าเป็นโจรจริง ๆ แม้จะถูกทุบตีอยู่ก็ยังร้องบอกให้ลูกรีบหนีไป พ่อ
แม่แก่แล้วไม่ต้องเป็นห่วง ลูกจงรักษาชีวิตไว้เถิด
ลูกชายพอได้ยินเสียงมารดาบิดาร้องบอกให้รีบหนีไปไม่ต้องเป็นห่วงพ่อแม่ ก็กลับคิดได้ว่า “ตนทำ
กรรมหนัก พ่อแม่แม้จะถูกเราทุบตีอยู่นี้ ก็ยังร้องคร่ำครวญด้วยความรักและห่างใยให้เรารีบหนี
ไปโดยมิได้คำนึงถึงชีวิตของตนเอง”
ดังนี้แล้วจึงเข้ามาบีบนวดให้แล้วบอกกับพ่อแม่ว่า“บัดนี้พวกโจรหนีไปหมด แล้ว”
จากนั้นก็นำท่านกลับมาปรนนิบัติดูแลที่บ้านเป็นอย่างดี
ลูกชาย เมื่อตายแล้วต้องชดใช้กรรมในนรกเป็นเวลานาน เมื่อพ้นจากนรกแล้วมาเกิดใหม่
ต้องถูกทุบตีจนแหลกละเอียดอีกหลายร้อยชาติ ในชาติสุดท้ายนี้แม้จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
มีฤทธิ์ สามารถจะดำดินล่องหนหายตัวได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ไม่สามารถจะหนีผล
กรรมได้ ท่านจึงยอมให้พวกโจรจับทุบจนร่างแหลกเหลวดังกล่าวมานั่นเอง

กราบทูลลานิพพาน
พระมหาโมคคัลลานเถระ คิดว่า “เราควรไปกราบทูลลาพระผู้มีพระภาค ก่อนจึง
ปรินิพพาน” ดังนี้แล้วก็เรียบเรียงสรีรกายประสานกระดูกผูกหมั่นด้วยกำลังฌาน เหาะมาเฝ้า
พระบรมศาสดา ถวายบังคมแล้วกราบทูลลาปรินิพพาน พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “โมคคัลลานะ
เธอจะปรินิพพาน ที่ไหน เมื่อไร ?”
“ข้าพระองค์ จะนิพพานที่กาฬศิลาในวันนี้ พระเจ้าข้า”
“โมคคัลลานะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงแสดงธรรมแก่ตถาคตก่อน ด้วยว่าการได้เห็นพระเถระ
เช่นเธอนี้ จะไม่มีอีกแล้ว”
พระเถระได้รับพระพุทธบัญชาเช่นนั้นจึงทำปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปบนอากาศแสดงพระ
ธรรมเทศนาแล้วลงมาถวายอภิวาทกราบทูลลาไปยังกาฬศิลา และปรินิพพาน ณ ที่นั้น ตรงกับวัน
แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ หลังจากพระสารีบุตรนิพพานได้ ๑๕ วัน
พระผู้มีพระภาค เสด็จไปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ทรงเป็นองค์ประธานจุดเพลิงฌา
ปนกิจศพให้ท่าน ขณะนั้น ฝนดอกไม้ทิพย์ตกลงมาโดยรอบบริเวณ มหาชนพากันประชุมทำ
สักการะอัฐิธาตุตลอด ๗ วัน พระพุทธองค์โปรดให้สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิไว้ ณ ที่ใกล้ซุ้มประตูแห่ง
พระเชตะวัดมหาวิหารนั้น
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระอัครสาวกทั้งขวาและซ้ายนิพพานหมดแล้ว ก็เปรียบ
ประหนึ่งต้นหว้าแก่ที่กิ่งใหญ่ทั้งสองหักลงแล้ว คงเหลือแต่พระอานนท์ ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐาก
เพียงองค์เดียว เที่ยวติดตามประการหนึ่งว่าเงาตามพระองค์ ฉะนั้น

บทธรรมสอนใจ อ่านแล้วคิดตาม

“ผู้ใดมีจิตตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวดุจภูเขา
ไม่กำหนัดในอารมณ์อันชวนให้กำหนัด
ไม่ขัดเคืองในอารมณ์อันชวนให้ขัดเคือง
ผู้อบรมจิตได้อย่างนี้ ความทุกข์จะมีได้อย่างไร”

สุริยะ เทพ

สุริยะ เทพ

เทพพระอาทิตย์

เทพพระอาทิตย์ทรงมีพระนามมากมาย อรหบดี ( เป็นใหญ่ในวัน ) สหัสรกิรณ ( มีแสงนับพัน ) โลกจักษุ ( ตาโลก ) วิวัสวัต ( ผู้สว่าง )

ทินกร ( ผู้ทำการกลางวัน ) เป็นเทพผู้ให้แสงสว่าง การกำเนิด เทพแห่งอำนาจ ลาภยศ สรรเสริญ ชื่อเสียง และความสุข

เทพพระอาทิตย์ มีทั้งหมดแปดองค์ เทพองค์ของเรานี้คือ พระสูรยาทิตย์ ในไตรเพท พระสูรยาทิตย์ เป็นโอรสองค์ที่ ๘ ในจำพวกเทพพระอาทิตย์ เป็นโอรสแห่งพระกัศยปเทพบิดร และนางอทิติ โดยมี ๘ องค์เรียงดังนี้
๑. วรุณาทิตย์ ๒. มิตราทิตย์
๓. อรยมนาทิตย์ ๔. ภคาทิตย์
๕. อัมศาทิตย์ ๖. อินทราทิตย์
๗. ธาตราทิตย์ ๘. สูรยาทิตย์

ตำนานเทวกำเนิดระบุว่า ครั้งนั้น พระอิศวร ซึ่งเป็นใหญ่ในปวงเทพ นำพญาราชสีห์ ๖ ตัว มาป่นลง รองรับด้วยผ้าสีแดง ( แดงทับทิม ) พรมด้วยน้ำอมฤต กำกับด้วยพระเวทย์คาถาศักดิ์สิทธิ์ กำเนิดเป็นองค์เทพบุตรพระอาทิตย์มีพระวรกายสีแดง มีรัศมีรุ่งโรจน์รอบตัว ร่างเล็กมีสี่กร กรแรก ห้ามภยันตราย กรที่สองประทานพร อีกสองกรถือดอกบัว เสื้อทรงสีเหลืองอ่อน อาภรณ์แก้วปัทมราช และมีสีวิมานสีแดง ทรงราชสีห์ ( สิงโต ) เป็นพาหนะ

นอกจากราชสีห์แล้ว พระอาทิตย์ยังมีราชรถเทียมม้าขาว ๗ ตัว โดยมีสารถีชื่ออรุณ เป็นเทวพาหนะอีกอย่างด้วย

พระอาทิตย์ เป็นโลกบาล ทิศเนรดี ( ตะวันตกเฉียงใต้ ) ซึ่งไทยเราเรียก ทิศหรดี ประจำอยู่ทางทิศอาคเนย์ ( ตะวันออกเฉียงใต้ ) แสดงถึงสระทั้งหมดในภาษาบาลี ( อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ )

ในโหราศาสตร์ไทย พระอาทิตย์ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ ๑ และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากราชสีห์ ๖ ตัว ทำให้มีกำลังพระเคราะห์เป็น ๖ พระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ก็คือ ปางถวายเนตร

ทิศมงคล ทิศบูรพา ( ตะวันออก )
อัญมณีประจำวัน โกเมน เพทาย
แม่ซื้อประจำวัน นางวิจิตรนาวัน ( กายสีแดง )

คาถาบูชาดวงชะตาประจำวัน คาถาพระนารายณ์แปลงรูป ภาวนาวันละ ๖ จบ ( อะ วิช สุ นุส สา นุต ติ )

ตำนานชาติเวรแจงไว้ว่า พระอาทิตย์ กับพระอังคาร พระราหู เป็นอริกัน พระอาทิตย์ กับพระพฤหัสบดี จึงเป็นมิตรกัน

ประวัติว่าไว้ ในกาลครั้งนั้น เหล่าทวยเทพไท้ ได้ทำการกวนเกษียรสมุทร เพื่อทำน้ำอมฤตเมื่อได้น้ำอมฤตแล้ว ฝ่ายเทพจะแบ่งกันเสวยโดยไม่ยอมแบ่งอสูร ฝ่ายอสูรขัดเคืองไม่พอใจ จึงขุ่นเคืองกับปวงเทพอยู่กลายๆ ฝ่ายพระราหู อสูรใจถึง แปลงกายเป็นเทพเทวา แอบมาเสพน้ำอมฤตด้วย พระอาทิตย์กับพระจันทร์สังเกตเห็นเข้า จึงนำความขึ้นทูลองค์พระนารายณ์พระนารายณ์ทรงกริ้ว ขว้างจักรบั่นกายของ อสุรราหู ออกเป็น ๒ท่อน แต่ด้วยฤทธานุภาพแห่งน้ำอมฤต อสุรราหูจึงไม่ถึงตาย มีชีวิตทั้งที่ร่างกายขาดแยกเป็นสองเสี่ยง ท่อนบนเป็นอสูร คอยไล่กลืนกินดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ท่อนล่างกลายเป็นดาวเกตุ สืบไป พระอาทิตย์กับพระราหูจึงตกเป็นคู่ศัตรูกันแต่นั้น สืบมา

นิทานโบราณว่า ชาติภพหนึ่ง พระอังคารเกิดเป็นราชสีห์ พระอาทิตย์เกิดเป็นนกหัวขวาน พญาราชสีห์ กินเนื้อกินปลา กระดูกเนื้อก้างปลาเกิดไปติดขวางลำคอ จึงร้องขอให้นกหัวขวานช่วยเอาจะงอยปากคีบกระดูกชิ้นนั้นออกมาที แต่ปรากฏว่า นกหัวขวานไม่ทำเช่นนั้น กลับให้ความคมของปลายปากจิกเนื้อเจาะคอของราชสีห์เป็นโพรงแล้วเอากระดูกชิ้น นั้นออกมาแทนสร้างความเจ็บปวดเหลือประมาณแก่ราชสีห์ยิ่งนัก จึงผูกอาฆาตจองเวรนกตัวนั้นตลอดเวลาจากนั้นมาคราใด ชาติภพไหนได้วนเวียนมาเจอกัน เป็นต้องมีการเลือดตกยางออกระหว่างสองเทพทุกครั้งไป ไม่ว่าชาติภพใดใด

เรื่องเล่าของเหล่าเทพ สืบทอดมาว่า ครั้งใดครั้งหนึ่ง พระพฤหัสบดี เกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์และพระอาทิตย์ได้เกิดมาเป็นลูกศิษย์ ทิศาปาโมกข์ มีความพึงพอใจในตัวศิษย์พระอาทิตย์อย่างยิ่ง ถึงขนาดยก ธิดาให้เป็นภรรยา ซึ่งธิดาในครั้งนั้นคือเทพพระจันทร์ของเราๆนั่นเอง ถึงคราวที่ศิษย์จะต้องเดินทางไปธุระต่างแดน แสนไกล จึงฝากชายาไว้ กับพระอาจารย์พฤหัสบดี อาจารย์เกรงจะเกิดเภทภัย จึงเนรมิตผอบใส่บุตรสาวตนไว้ พระอังคารซึ่งแอบล่วงรู้ความนัยทั้งหมด จึงได้เนรมิตตนเป็นเพชรพระยาธร มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ด้วยพระขรรค์ แล้วแอบมาเป็นชู้กับพระจันทร์ธิดาของพระพฤหัสบดี เมื่อพระพฤหัสทราบเรื่องก็เสียพระทัยยิ่งนัก ว่าตนมิได้ดูแลชายาของพระอาทิตย์ให้ดีเท่าที่ได้รับฝากไว้ จึงจัดแต่งพานหมากไว้เป็น ๒ ที่ พระอาทิตย์ผู้ศิษย์กลับมาเห็นเข้าก็ผิดสังเกตถามว่าเพราะเหตุใดจึงมีพานหมาก สองที่ พระพฤหัสบดีจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังพระอาทิตย์เสียใจมาก เปิดผอบออกมาพบพระอังคารกับพระจันทร์สมสู่เสพชู้กัน ครั้นเมื่อรู้ว่าถูกจับได้พระอาทิตย์กับพระอังคารจึงได้ทำศึกต่อสู้กัน พระอาทิตย์ถูกพระอังคารฟาดด้วยพระขรรค์ที่ศรีษะ ๒ แห่งจนแตกได้รับบาดเจ็บ ส่วนพระอังคารก็ถูกพระอาทิตย์ขว้างด้วยจักร ถูกที่พระบาท พระจันทร์ไม่พอใจที่พระฤหัสบดีเข้าข้างพระอาทิตย์ที่เป็นแค่ศิษย์ นับตั้งแต่นั้นมา พระอาทิตย์กับพระพฤหัสบดีจึงเป็นมิตรกัน ส่วนพระอาทิตย์กับพระอังคารก็ผูกพยาบาทเป็นศัตรู คู่อาฆาต พระจันทร์เองก็เป็นศัตรูกับพระพฤหัสและไม่ถูกกับวันอาทิตย์เช่นกัน ฉะนั้นเมื่อพระพฤหัสกับพระจันทร์มาพบกันเมื่อใด ย่อมเกิดการลุ่มหลงมืดมัวด้วยความรักและได้ไข้เจ็บหนัก เกิดคดีความในหมู่พี่น้อง ส่วนอังคารกับพฤหัสมาถึงกันเมื่อใดย่อมเป็นอมิตรข่มเหงกันทุกครั้งไป

พระอาทิตย์ มีมเหสีสี่องค์ คือ นางฉายา นางสุวรรณา นางสวาดี และ มหาวีรยา

พระอาทิตย์ มีโอรสกับพระธิดาของพระวิศวกรรม คือพระมณูไววัสวัต มีเรื่องเล่าอีกว่า เพราะรัศมีกายที่รุ่งโรจน์ของพระอาทิตย์นี่แหละ ทำให้พระชายาทนไม่ได้ หนีไปบวชเป็นโยคินีอยู่ในป่า ลอบแปลงกายเป็นม้าอัศวินีเพื่อให้พระอาทิตย์ผู้เป็นสวามีจำไม่ได้ แต่พระอาทิตย์รู้ทันจึงจำแลงเป็นม้าไปเป็นสามีอีกจนเกิดลูกด้วยกัน คือพระอัศวิน แฝดคู่กับ พระเรวันต์ ครั้นเมื่อพากันกลับมายังวิมานแล้ว พ่อตาคือพระวิศวกรรม จึงจับพระอาทิตย์ขูดผิวที่สว่างออกเสียหนึ่งในแปด ร่างกายจึงเล็กลงและความรุนแรงของรัศมีก็บรรเทาลง พอที่จะอยู่กับพรชายาได้ต่อไป ผิวที่ขูดออกนี้ พระวิศวกรรมนำไปสร้างจักรถวายพระนารายณ์ ตรีศูลถวายพระอิศวร คทาให้ท้าวกุเวรและพระขรรค์ให้พระขันธกุมาร

เทวดานพเคราะห์ เทพพระอาทิตย์ เราเปรียบกับดวงอาทิตย์ เป็นดาวมหาภิภพ ใหญ่กว่าภิภพที่มนุษย์อยู่กัน ราว ๑,๓๑๐,๐๐๐ เท่า และมีพื้นที่คิดเป็นตารางเหลี่ยมได้ ๓,๓๕๗,๑๒๗,๗๐๒,๐๐๐ วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ ๘๖๖,๔๐๐ ไมล์ เป็นดาวอยู่ประจำที่ หมุนรอบตัวเองหนึ่งรอบ ต่อ ๒๕ วัน ๙ ชั่วโมง เป็นดาวที่ให้แสงสว่างแก่ดาวพระเคราะห์ดวงอื่นๆ มีกำลังดึงดูด ๑ วินาทีต่อ ๔๔,๔๖๐ ฟุต ลำแสงของพระอาทิตย์มีกำลังดูดน้ำได้ถึง ๑๐๐๐ ส่วน ฝน ๔๐๐ ส่วน หิมะ ๓๐๐ ส่วนลมอากาศ ๓๐๐ ส่วน และอยู่ห่างจากโลกถึง ๙๒,๙๖๕,๐๐๐ ไมล์ ดวงอาทิตย์เป็นดวงดาวสำคัญ ควรเปรียบเหมือนพระราชา ดาวดวงอื่นเปรียบเหมือนบริวาร (ตามหลักวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และ ดาราศาสตร์) โดยบริวารเหล่านั้น ต้องได้รับอิทธิพลจากดวงอาทิตย์ จึงถือเป็นดาวบาปเคราะห์

วันอาทิตย์ สีประจำวันคือสีแดง แต่สำหรับสีที่ให้โชคลาภคือ “สีเขียว” มีคนรักคนชอบ รวมไปถึงสีชมพูใส่แล้วจะทำให้คนเกรงขาม สีที่เป็นกาลกิณี คือสีน้ำเงิน ฟ้า

ธาตุประจำตัวคือ ธาตุไฟ เป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ให้ผลในทางก้าวร้าวรุนแรง การที่พระอาทิตย์ ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยราชไกรสรนั้น จึงมีนิสัยดุร้ายเหมือนกับราชสีห์ราชสีห์มีนิสัยดุร้าย รักยศ รักความสวยงาม เจ้าชู้ ถือตัว ปัญญาไว ไหวพริบดี เฉียบขาด โอบอ้อมอารี ใจคอกว้างขวาง กล้าได้กล้าเสีย ชอบความอิสระ มีมานะ

ผู้ใดเกิดวันอาทิตย์ หรือมีพระอาทิตย์สถิตย์ร่วมกับลัคนา มักมีอารมณ์รุนแรง ตัดสินใจไว เฉียบขาด แต่ซื่อสัตย์ บุคคล ที่เกิดในวันนี้ รูปร่างสมส่วน สันทัด ผิวขาวหรือดำแดง คล่องแคล่วว่องไว พูดจาตรงไปตรงมา จิตใจเข้มแข็ง ชอบชีวิตอิสระ มีความเป็นผู้นำ รักเกียรติศักดิ์ศรี มีความคิดของตัวเอง บางครั้งใจร้อนวู่วาม โกรธง่ายหายเร็ว ขี้หงุดหงิด ใช้จ่ายเก่ง มีความคิดสร้างสรรค์ ทะเยอทะยาน เจ้าระเบียบ ต้องการความสมบูรณ์แบบในชีวิต

หญิงชายใด เกิดวันอาทิตย์
๑. เป็นอัตตะ
เป็นคนมากด้วยบุญ วาสนา แรกคลอดนั้น พี่น้องพร้อมหน้าพร้อมตา มีความสามารถในการเจรจา ซื่อสัตย์เติบใหญ่ภายหน้าจะได้ดี เพราะตนเอง

๒ เป็นหินะ
บูรพาจารย์ ท่านว่าคนวันอาทิตย์ ได้ของสิ่งใดมามักรักแต่แรกเริ่ม นานไปก็เบื่อหน่ายไม่ใส่ใจไยดี

๓ เป็นธะนัง
จับจ่ายทรัพย์สินมือเติบ เก็บเงินไม่ค่อยอยู่ มีเหตุให้ใช้ ผู้อื่นเบียดเบียน

๔ เป็นปิตา
หัวไว แต่ใจร้อน บิดาจะเสียชีวิตก่อนมารดา

๕ เป็นมาตา
ญาติพี่น้องทางมารดา สูงส่งกว่าญาติพี่น้องบิดา

๖ เป็นโภคา
ไม่ค่อยรักษาข้าวของ ชอบยกให้ผู้อื่น ของให้ใครหยิบยืมไม่ค่อยได้คืน ทำดีกับใคร เหมือนไฟตกน้ำช่วยเขามามากมาย วันหลังหวังขอพึ่งเค้าบ้างกลับถูกนินทา ความดีไม่เคยมีเหลือ

๗ เป็นมัชฌิมา
ไม่ค่อยใส่ใจเพศตรงข้าม ชอบการรณรงค์ ให้ความสำคัญกับใจมากกว่าสมอง

คนเกิดอาทิตย์ ปีชวด ( หนู )
หนูนา โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้ ตกภาค ได้เมื่อพระยาสัตลุงถูกนำตัวไปประหาร ชีวิตจะมีความทุกข์ พบเจอแต่เรื่องร้อนใจ ทุกข์ทน แต่เป็นคนรูปงาม มีเสน่ห์ ช่างเจรจ

คนวันอาทิตย์ ปีฉลู ( วัว )
วัวขวัญร้าย โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ปานกลาง ตกภาค ชีวิตตกยาก ใจนักเลง อาภัพ ทำอะไรลุกลี้ลุกลน จิตใจโลเล รักง่ายหน่ายเร็ว

คนวันอาทิตย์ ปีขาล ( เสือ )
เสืออยู่ถ้ำ โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้ ตกภาค ทำมาหากินลำบาก สร้างฐานะด้วยตนเอง รักบ้านเกิด มักถูกคนเอาเปรียบ พึ่งพาใครไม่เคยได้

คนวันอาทิตย์ ปีเถาะ ( กระต่าย )
กระต่ายพเนจร โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้ ตกภาค แรกเกิดจนโต ต้องต่อสู้ดิ้นรน พึ่งได้แค่ตนเอง ควรเลือกคบคน มีความสามารถ เอาตัวรอดได้

คนวันอาทิตย์ ปีมะโรง ( งูใหญ่ )
งูพญานาค โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ดีมาก ตกภาค อำนาจวาสนาดี อุดมด้วยทรัพย์ ศฤงคาร และพวกพ้อง ดุร้าย ฉุนเฉียวง่าย ไม่ค่อยใส่ใจใคร

คนวันอาทิตย์ ปีมะเส็ง ( งูเล็ก )
งูหนีไฟลงน้ำ โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้ ตกภาค มีแต่เรื่องยุ่งยากมาให้ปวดหัว ชีวิตลำบากตรากตรำบั้นปลายจึงปักหลักได้ แต่ยังจัดว่าดีตรงที่มีคนคอยอนุเคราะห์ เหมือนหนีร้อนไปพึ่งเย็น

คนวันอาทิตย์ ปีมะเมีย ( ม้า )
ม้าคนเลี้ยง โชคชะตาวาสนาอยู่ในเกณฑ์ดี ตกภาค ความเป็นอยู่สุขสบาย ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ญาติมิตร เพศตรงข้าม ขณะเดียวกันก็ชอบให้ความช่วยเหลือผู้อื่นด้วยเช่นกัน

คนวันอาทิตย์ ปีมะแม ( แพะ )
แพะกลางตลาด โชคชะตาวาสนาอยู่ในเกณฑ์ปานกลางตกภาค ชีวิตต้องโยกย้าย เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆ ทำมาหาได้พอกินไม่มีเหลือเก็บ ญาติมิตรอาศัยไม่ได้

คนวันอาทิตย์ ปีวอก ( ลิง )
ลิงพระยาเลี้ยง โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ดีมาก ตกภาค สุขสบาย ประสบความสำเร็จ ได้เป็นใหญ่เป็นโต ระวังกรณีพิพาทเรื่องชู้สาว โดนใส่ร้ายคดโกง

คนวันอาทิตย์ ระกา ( ไก่ )
ไก่พระยาเลี้ยง โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ดีมาก ตกภาค บุญวาสนาดี ผู้ใหญ่ญาติมิตร ให้การสนับสนุน เพื่อนฝูงรักใคร่ ชีวิตสมบูรณ์พูนสุข

คนวันอาทิตย์ ปีจอ ( หมา )
หมาไล่เนื้อ โชคชะตาวาสนาอยู่ในเกณฑ์ปานกลางตกภาค จะมีคนเกื้อหนุนต่อเมื่อทำประโยชน์ให้เค้าได้ ชีวิตเหนื่อยยาก ตั้งใจทำงานทำการชีวิตภายภาคหน้า อาจพบความสุขสบายได้บ้าง

คนวันอาทิตย์ ปีกุน ( หมู )
หมูพระยาเลี้ยง โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ดีมากตกภาค บุญวาสนาดี ผู้ใหญ่อุปถัมภ์ ลาภยศสมบูรณ์ คนรักใคร่พอใจ

คนเกิดวันอาทิตย์ ทั่วๆไป
ชอบใช้ชีวิตผาดโผน มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง มีสติปัญญาดี รู้ทันคน เป็นคนเจ้าระเบียบพอสมควร มีความเป็นผู้นำ รักศักดิ์ศรี มีความเพียร ขี้โมโห หงุดหงิดง่าย จิตใจเข้มแข็ง ประสบชัยชนะได้ง่าย จะมีผู้ใหญ่ให้ความช่วยเหลือสนับสนุน รักความสะดวก สบาย ไม่ค่อยประหยัดอดออม มีความฝันและทะเยอะทะยาน มุ่งมั่น โกรธง่ายหายเร็ว ใช้เงินตามความพอใจ ไม่ค่อยคิดถึงวันข้างหน้า ควรระวังโรคภัยไข้เจ็บ อาทิ หลอดเลือดตีบ หัวใจล้มเหลว อาการปวดตามข้อ คอ ไหล่ สายตาผิดปกติ

ผู้ชายวันอาทิตย์
บุคลิกดี นิ่งเฉยเงียบขรึม แต่บางคราววู่วาม ใจร้อน ฉุนเฉียว จริงจังกับการใช้ชีวิตอาชีพอิสระ ที่ไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาใคร ค้าขาย ก่อสร้าง ฯ เหมาะสมที่สุด พื้นฐานชะตาชีวิตดี มีบริวารเกื้อหนุน ความรักวูบวาบ เป็นคนชอบผู้หญิงอ่อนน้อม ไม่เย่อหยิ่งชอบคนเรียบร้อยนิสัยดี รู้จักเก็บกิริยา เป็นคนช่างเลือกและชอบคาดหวังมากเกินไป จึงเปลี่ยนคู่ควงบ่อย แต่ไม่ใช่เจ้าชู้ จะได้พบคู่ อยู่ใกล้ตัว หรือคนที่เห็นกันมานานเป็นคู่ครองช่วงอายุที่ควรแต่งงาน อยู่ระหว่าง ๒๒ ถึง ๒๖ ปี ถ้าเลยจากนั้น ก็คงจะเตลิดไกลไปอีกพักใหญ่ๆ ผู้ชายวันนี้ จะมีลูกกี่คนก็ได้ และไม่ควรเกินสามคน ลูกที่จะส่งให้พ่อวันอาทิตย์รุ่งเรืองนั้น ควรเป็นลูกชายวันเสาร์ ลูกสาววันอังคาร ( ทั้งนี้สิ่งสำคัญอยู่ที่การเลี้ยงดู ซึ่งความรัก ความเข้าใจ ความอบอุ่นสำคัญมาก แม้ลูกวันอื่นก็อาจดีได้ไม่แพ้กัน อย่างมงายไป )

ผู้หญิงวันอาทิตย์
ผู้หญิงวันอาทิตย์นี้ จัดว่าเดือดมาก ใจร้อน ขี้โวยวาย งอแง งี่เง่า ใครขัดใจไม่ได้ไม่ใช่คนขยัน แต่กลับดูเป็นคนไม่อยู่นิ่ง บางเวลาชอบนั่งมองฟ้ามองน้ำ ชมนกชมไม้ไม่สนใจใคร ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายนัก หน้าที่การงาน ควรเป็นงานด้านธุรกิจการเงินการธนาคาร หรือไม่ก็งานศิลป บันเทิงไปเลย โดยเฉพาะงาน สื่อสาร ที่ต้องพบเจอผู้คนจัดว่าดีมากสำหรับสาววันนี้ ห้ามเด็ดขาดกับการทำงานใดใด ที่เกี่ยวกับรับเหมาก่อสร้างรับจ้างต่อเติมตกแต่งอาคาร บ้านเรือน เพราะมีเปอร์เซน ล้มละลายสูง ถึงดื้อด้านทำต่อไปได้ ก็ปัญหาเยอะ เหนื่อยยาก และได้ค่าตอบแทนติดลบตลอดไป ผู้หญิงวันนี้มีความรักที่ต้องต่อสู้แย่งชิง การแข่งขันสูงและไม่รักใครง่ายๆ บางทีเรื่องหัวใจ คุณต้องต่อสู้กับความรู้สึกหนักๆ เหตุผลแย่ๆ แต่สาววันนี้ก็จะไม่ตัดรอนความสัมพันธ์นั้นๆก่อน คงรอระยะเวลาให้อีกฝ่าย บอกลาและจากไปเอง คนที่จะมารักผู้หญิงวันนี้ ต้องมีความเป็นนำ อายุต้องมากกว่าเยอะเพราะจะต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ใจเย็นมากพอ ที่จะรองรับอารมณ์รุนแรงไม่คงที่ของคนวันนี้ให้ได้ เนื้อคู่ของสาววันนี้ ต้องเป็นเจ้าของกิจการ หัวหน้าสายงาน หรือรับราชการก็ได้ มีร่างกายแข็งแรง หน้าคมเข้ม แกร่งกำยำ ปกป้องคุมครองคนรักได้ คนวันนี้ชอบนัก ควรแต่งงานในระยะเวลาที่อายุ ราว ๒๗ ถึง ๓๓ หากแต่งงานอายุน้อยๆ ส่วนมากมักไปไม่รอดสักราย

ทิศมงคลของคนวันอาทิตย์ ทิศที่ให้โชคลาภ มีทักษิณ ( ใต้ ) หรดี ( ตะวันตกเฉียงใต้ ) และอาคเนย์ ( ตะวันออกเฉียงใต้ )

ทิศอัปมงคลของคนวันอาทิตย์ คือ ทิศอุดร ( ทิศเหนือ ) ไม่ควรให้ประตูใหญ่ๆ ที่สำคัญของตัวบ้านหันไปทางนั้น

คนเกิดวันอาทิตย์
๑ อาทิตย์ เป็นบริวาร มีข้าทาสมาก เมียเยอะ แต่ส่งเสริมเกื้อหนุนเราได้
๒ จันทร์ เป็นอายุ ไม่ค่อยลงรอยกับพี่น้องเท่าไรนัก
๓ อังคาร เป็นเดช มีอำนาจมาก คนเกรงใจไม่น้อย
๔ พุธ เป็นศรี มีชื่อเสียง สินทรัพย์สมบูรณ์ ต่อไปภายหน้า
๕ พฤหัสบดี เป็นอุตสาหะ มีความรู้ ความสามารถ สอนคนได้
๖ ศุกร์ เป็นกาลกินี อย่าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของคนอื่นเขา เราจะมีภัย ทำอะไรในทางที่ควรที่ถูกไว้ ดีเสมอ
๗ เสาร์ เป็นมูละ หน้าตาไม่ดี แต่น่าเชื่อถือ ดูมั่นคง ทั้งความรอบรู้และเงินทอง
๘ ราหู เป็นมนตรี ลูกเมีย ลูกจ้าง หมาแมว เชื่อฟัง กตัญญู

คนเกิดวันอาทิตย์ในปีลบ ถ้าเจอโฉลกราศรี ยามตกฟากดีดี ก็มีสิทธิ์เจริญรุ่งเรืองได้ไม่ยากนักเสือ หนู งูเล็ก กระต่าย หมา อย่าได้กังวล กับชะตาชีวิต คิดมากไป หนทางแก้ไขยังมีดวง ฝืนได้ แต่อาจจะเหนื่อยมาก องค์ศาสดาเคย ทรง พุทธวจนะ ไว้ว่า อย่าหลงวัน อย่าเหลิงดาว เชื่อมั่นในอำนาจแห่งความดี มีความเพียร ซื่อสัตย์ต่ออาชีพและคนที่เรารัก ชีวิตจะอยู่ดีมีสุข

การบูชาเทพประจำวันเกิด พระอาทิตย์
คนวันอาทิตย์ อายุ ๒๑ ๒๕ ๒๖ ๒๗ ต้องระวังเยอะๆ เพราะพื้นชะตามีเคราะห์ อิทธิคุณ จากการบูชาเทพประจำวันเกิด จะส่งผลให้ความรุนแรงของ อุบัติภัยลดลง ยิ่งถ้าบวกกับการครองสติมั่น และความไม่ประมาทในการทำการใดๆ ภัยอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยตามทักษาดวงดาว และแรงกรรมที่อาจจะลดลง ก็เป็นได้ เทพวันอาทิตย์ทรงมีบริวารมากมาย เราเป็นคนที่ถือกำเนิดในวันของท่าน หากมุ่งมั่นกตัญญู ใส่ใจให้ความสำคัญแบบพอดี ไม่ลุ่มหลงงมงาย ศรัทธาอย่างมีเหตุผล ค่าตอบแทนจากความศักดิ์สิทธิ์ และอิทธิพลสูงสุดของผู้ควบคุมวันในแดนตกฟากที่เราเกิด หวังผลได้ว่า จะต้องเป็น ความปลอดภัย โภคทรัพย์ และ มงคลนานาประการเป็นแน่วันอาทิตย์ เป็นอิทธิคุณ กับวันพฤหัส ถ้ายามเกิด เวลาสวยอยู่แล้วในวันอาทิตย์ สามารถบูชา เทพวันพฤหัสบดีเพื่อเป็นฐานเสริมชะตา ในเรื่อง เงิน งาน ความรัก ความปลอดภัยได้อีกในระดับหนึ่ง อาทิตย์บูชาพฤหัสก็รุ่งเรือง พฤหัสบูชาอาทิตย์ ก็รุ่งโรจน์ ทัดเทียมกัน ..

เทพ พระจันทร์

เทพ พระจันทร์

เทพพระจันทร์ เทพประจำวันเกิด วันจันทร์

พระจันทร์

พระจันทร์ ถูกขนานนามมากมาย ศศิธร ( ทรงไว้ซึ่งกระต่าย ) นิศากร ( ผู้สร้างกลางคืน ) ศิวเขศร ( ปิ่นศิวะ ) โสมอินทุ ( หยาดเช่นหยดน้ำ )

เป็นเทพ แห่งไสยศาสตร์ความสวยงามลุ่มหลงความรักร้อนแรง มีวาจาเหมือนอาวุธ ถือตัว ไม่เกรงใจใคร

ตำนานเทวกำเนิดกล่าวว่า

พระอิศวรเทพเจ้า ทรงสร้างพระจันทร์ จากบรรดานางฟ้า ๑๕ นาง ร่ายพระเวทย์ให้ป่นลงเป็นผง รองรับด้วยผ้าสีเหลืองสดใส ห่อกำกับด้วยพระคาถา ประพรมน้ำอมฤต เกิดเป็นองค์เทพบุตรพระจันทร์ ผิวกายเป็นสีนวลเรื่อเรืองวิมานมีสี มุกดา ทรงม้าเป็นพาหนะ พระจันทร์มีพระวรกายขาวเป็นยองใย ทรงอาภรณ์ด้วยแก้วพระกาฬสวยงาม อาวุธประจำกายคือพระขรรค์

พระจันทร์เป็นเทวโลกบาล แห่งทิศอิสาน
ประจำอยู่ ทิศตะวันออก
แสดงอักษรวรรค กะ ( ก ข ค ฅ ฆ ง )

ในโหราศาสตร์ไทย พระจันทร์ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ ๒ และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากนางฟ้า ๑๕ องค์ จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น ๑๕

พระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันจันทร์ ก็คือ ปางห้ามสมุทร
ทิศมงคล ทิศพายัพ ( ตะวันตกเฉียงเหนือ )
อัญมณีประจำวัน เพชร , มุก
แม่ซื้อประจำวัน นางวัณณนงคราญ กายสีขาวนวล
คาถาบูชาดวงชะตาประจำวัน กระทู้เจ็ดแบก ภาวนาวันละ ๑๕ จบ ( อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา )

ตามชาติเวร พระจันทร์เป็นมิตรกับพระพุธ และเป็นศัตรูกับพระพฤหัสบดี

ตำนานว่า พระจันทร์เป็นเทพหนุ่มรูปงาม ลักพาชายาของพระพฤหัสบดีไปเสพสุขที่วิมาน ครั้นพระพฤหัสบดี ตามไปขอคืนก็ไม่ให้ เกิดการรบรากันใหญ่โตของบรรดาเทพ อสูร ทั้งหลาย สุดท้ายพระพรหมทรงตัดสินให้พระจันทร์คืนชายาให้พระพฤหัสไป แต่ก็มีพระพุธติดครรภ์ตามไปแล้ว พระพุธจึงเป็นบุตรที่ถือกำเนิดจากพระจันทร์และชายาของพระพฤหัส พระพฤหัสได้ชายาคืนแล้ว ยังไม่พอใจ ร้องขอพรหมเทพห้ามพระจันทร์ มิให้เข้าไปในเทวสภา หรือไม่ให้เข้าร่วมประชุมเหล่าเทพเทวดาด้วยต่อไป ภายหลังพระจันทร์จึงไปวิงวอนให้พระศิวะเทพช่วยพระศิวะจึงได้นำพระจันทร์แปลง เป็นปิ่นปักผมเข้าไปร่วมประชุมในเทวสภา พระจันทร์จึงมีนามว่า ศิวเขศร นับจากนั้นพระจันทร์ กับพระพฤหัสจึงถือเป็นอริกันเรื่อยมา ส่วนพระพุธที่ผูกมิตรกันกับพระจันทร์ ก็เพราะเป็นบุตรและบิดากันนั่นเอง

พระจันทร์ เป็นพิภพก้อนหนึ่ง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒,๑๖๐ ไมล์ ห่างจากโลก ๒๓๘,๘๔๐ ไมล์ และโคจรรอบโลกของเรา ไม่หมุนรอบตัวเองอย่างดวง

อาทิตย์ แต่หมุนไปรอบโลกของเราใน ๒๗ วัน ๗ ชั่วโมง๔๓ นาที ๑๑ วินาที มีแรงดึงดูดเพียง ๒.๗๓ ฟุต ต่อวินาที

พระจันทร์เป็นเทวดานพเคราะห์ ประเภทศุภเคราะห์
ให้ผลในทางนุ่มนวลอ่อนโยน นั่นคือ ผู้ใดเกิดวันจันทร์ หรือมีพระจันทร์สถิตย์ร่วมกับลัคนา มักมีอารมณ์อ่อนโยน เพ้อฝัน รวนเร ( แต่อาจมีเล่ห์เหลี่ยมมาก )

วันจันทร์ สีประจำวันคือ สีเหลือง
สีที่จะให้โชคลาภ คือสีม่วง สีส้มคือสีร่ำรวย ขาวครีมเหลืองคือสีบริวาร สีชมพู เป็นสีอายุ สีเทาคือสีอุตสาหะ สีฟ้าคือมนตรี ส่วนสีเขียวจะเป็นสีแห่งเกียรติยศ สีที่เป็นกาลกิณีคือสีแดง ทอง

หญิงชายใดเกิดในวันจันทร์
๒ เป็นอัตตะ วัยเด็กมีคนออกปากขอไปเลี้ยงดู และเขาจะคอยอุปถัมภ์ ตัวเองอาภัพมักแยกกันอยู่กับพี่น้อง
๓ เป็นหินะ ไม่ค่อยรักหรือดูแลใส่ใจ ข้าวของ บริวาร ของตน
๔ เป็นธะนัง หากเก็บทรัพย์ไว้กับตน มักถูกพี่น้องเบียดเบียน เพราะใจอ่อน
๕ เป็นปิตา บิดาเป็นผู้มีบุญ มารดาตายก่อนบิดา
๖ เป็นมาตา ญาติพี่น้องทางมารดาเยอะกว่าข้างบิดา
๗ เป็นโภคา เก็บทรัพย์ยาก มักหมดเปลืองกับเรื่องคนอื่นจนตนเดือดร้อน
๑ เป็นมัชฌิมา ไปหา หวังพึ่งผู้ใด มักต้อนรับทำดีแต่เฉพาะหน้า ลับหลังใส่ร้ายนินทา

คนเกิดวันจันทร์ ปีชวด ( หนู )
หนูพ่อค้าเลี้ยง โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ดีมาก
ตกภาค นางสิบสองถูกยักษ์ควักลูกตา แต่พระรถเสนทร์นำมาคืนให้ภายหลัง จะลำบากในชั้นต้นของชีวิตแต่ภายหลัง จะได้ดีมีสุข ลูกหลานมากมาย

คนเกิดวันจันทร์ ปีฉลู ( วัว )
วัวพระโพธิสัตว์ โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ดีมาก
ตกภาค ใจบุญ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีบริวารมาก เป็นที่นับถือของคนทั่วไป รู้หลักนักปราชญ์ สติปัญญาเลิศ

คนเกิดวันจันทร์ ปีขาล ( เสือ )
เสือติดจั่น โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้
ตกภาค ชีวิตมักพบความยุ่งยากลำบาก ต้องไม่ย่อท้อต่อสู้ชีวิต จึงจะประสบความสำเร็จอย่าไว้วางใจคนอื่นมาก รู้จักโอนอ่อนผ่อนตามไม่มุทะลุจึงดี

คนเกิดวันจันทร์ ปีเถาะ ( กระต่าย )
กระต่ายเทวดาเลี้ยง โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ดีมาก
ตกภาค ได้รับความอุปถัมภ์ส่งเสริม วาสนาดีมาก ชีวิตความเป็นอยู่สมบูรณ์

คนเกิดวันจันทร์ ปีมะโรง ( งูใหญ่ )
งูพเนจร โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้
ตกภาค อาภัพอับโชค ชีวิตร่อนเร ต่อสู้ดิ้นรนด้วยตัวเอง พึ่งใครยากมาก

คนเกิดวันจันทร์ ปีมะเส็ง ( งูเล็ก )
งูอยู่ในรู โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ดี
ตกภาค ชีวิตสุขสบาย ไม่สับสนวุ่นวาย มีอิสระสนุกสนานไม่ค่อยทุกข์ร้อนระวังเรื่องชู้สาว ไม่ควรทำอะไรด้วยความคะนอง หรือใจร้อน

คนเกิดวันจันทร์ ปีมะเมีย ( ม้า )
ม้าเทวดาเลี้ยง โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ดีมาก
ตกภาค เป็นคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ มีความเป็นอยู่ค่อนข้างสุขสบาย จะได้ช่วยเหลือผู้คน เป็นที่พึ่งคนอื่นได้

คนเกิดวันจันทร์ ปีมะแม ( แพะ )
แพะเศรษฐีเลี้ยง โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ดีมาก
ตกภาค ชีวิตเงินทองสมบูรณ์พูนสุข ทรัพย์สินมั่นคง เจ้าสำราญ มีจุดอ่อนคือ ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจตน

คนเกิดวันจันทร์ ปีวอก ( ลิง )
ลิงพเนจร โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้
ตกภาค ชีวิตระหกระเหเร่ร่อน ทำมาหากินด้วยความเหนื่อยยาก ไปต่างถิ่นจึงได้ดี สุขสบายเมื่อวัยชรา

คนเกิดวันจันทร์ ปีระกา ( ไก่ )
ไก่ป่า โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้
ตกภาค ทำมาหากินเหนื่อยยาก ตั้งหลักปักฐานได้ลำบาก พึ่งพาตนเอง

คนเกิดวันจันทร์ ปีจอ ( หมา )
สุนัขเศรษฐีเลี้ยง โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ดี
ตกภาค ชีวิตสุขสมบูรณ์ไม่เดือดร้อน มีความเป็นอยู่ดี

คนเกิวันจันทร์ ปีกุน ( หมู )
หมูขุน โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้
ตกภาค มักถูกเบียดบังผลประโยชน์เหนื่อยยากไปเพื่อให้คนอื่น ชีวิตลำบากลำเค็ญ ไม่ควรเชื่อคนอื่นมากกว่าตนเอง

คนเกิดวันจันทร์ทั่วๆไป
มักผูกใจเจ็บไม่ค่อยให้อภัยใครง่ายๆ ใจแข็งโกรธใครจะไม่ค่อยง้อขอคืนดีก่อน ชอบทำอะไรด้วยตัวเองไม่คิดพึ่งพาคนอื่น คนเกิดวันนี้ มีวาจาและรูปเป็นทรัพย์ มีเสน่ห์เป็นที่ต้องตาผู้คน ในขณะเดียวกันทั้งหน้าตาและคารมอาจเป็นดาบสองคม ที่ให้ผลดีและผลร้ายต่อชีวิตได้เช่นกัน คนเกิดวันจันทร์ค่อนข้างเลือกคบคน ถึงแม้จะดูมีเพื่อนมากมาย แต่มักมีคนสนิทใกล้ชิดไม่กี่คน เป็นคนโรคเล็กๆน้อยๆเยอะเมื่อวัยเด็ก แต่โตขึ้นหากปล่อยปละละเลยไม่หมั่นดูแลตัวเองความเจ็บไข้จะกำเริบหนักเมื่อ วัยสูงอายุ เป็นคนมีญาติพี่น้องเยอะ แต่ก็เหมือนไม่มี เรื่องเดือดร้อนส่วนมากก็เพราะคนอื่นหาความมาให้ ชีวิตวัยรุ่นต้องเหนื่อยลำบากภายหลังจะได้ดีมีสุข การงานฐานะมั่นคงลงตัว

ผู้ชายวันจันทร์
รักการแข่งขันทุกรูปแบบ จริงกับชีวิตคิดหนักคิดมาก จนบางครั้งเลยเถิดเป็นวิตกจริต เป็นคนอ่อนไหว ปราณีต ชะตาชีวิตมักผูกพันกับแม่มากกว่าพ่อ ใครที่รักผู้ชายวันจันทร์ จะต้องรักและเอาใจใส่แม่ของเค้าเป็นอย่างดีด้วย เป็นคนรักครอบครัวและคอยดูแลคนในบ้านเป็นอย่างดี เป็นที่พึ่งของพ่อแม่พี่น้อง ชะตาชีวิตตกอับยากเพราะมีความสามารถ งานที่สามารถทำได้ดี คืองานที่เกี่ยวพันกับตัวเลข ชายวันจันทร์เป็นคนมีเสน่ห์มีคนรักมาก อาจไม่หล่อคมระดับพระเอก แต่ก็มีบุคลิกดี คนวันนี้ช่างเลือกช่างติ เป็นคนทันสมัยที่หัวโบราณ ไม่นิยมผู้หญิงเปรี้ยวจี๊ด จัดจ้าน ฉูดฉาด เมื่อตกลงใจรักใครแล้ว จะรัก และดูแลอย่างดีทีเดียว ชอบคนมีระเบียบ สะอาด คู่ครองของคนวันนี้มักมีพื้นทางต่างกันมาก ทั้งสายงานและความเป็นอยู่ ช่วงชีวิตที่ควรสมรสคือ ๒๕ ถึง ๓๐ โดยมากผู้ชายวันนี้มักไม่ได้แต่งงานกับคนที่คบมานาน บางครั้งอาจพบว่ามีคนใหม่ที่เข้าใจตนมากกว่า แล้วตกลงใจสละโสดกระทันหันเลยก็เป็นได้ ผู้ชายวันจันทร์มีลูกกี่คนก็ได้ ลูกที่ส่งให้เจริญนั้น คือวันเสาร์ กับวันอังคาร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง ลูกเกิดวันไหนก็สร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลได้ ถ้าได้รับความรักความอบอุ่นและถูกอบรมมาดี

ผู้หญิงวันจันทร์
ปากร้าย แต่ใจไม่มีอะไร มีเพื่อนรักจริงใจอยู่บ้างหลายคน แต่ก็มีศัตรูที่แฝงมาในคราบมิตรมากมาย เป็นคนช่างประจบเอาใจผู้ใหญ่ โผงผางในหมู่เพื่อน ผู้หญิงวันนี้ช่างคิดช่างฝัน งานที่ได้นำเสนอสินค้า พบปะผู้คน งานที่ต้องเกี่ยวข้องกับของสวยๆงามๆ ก็จะทำได้เป็นอย่างดี มีความมุ่งมั่น กระตือรือร้น และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ มีเสน่ห์ดึงดูด ชอบผู้ชายภูมิฐาน พื้นนิสัยเป็นคนชอบความมั่นคง ชอบคนดูดี มีหน้าที่การงานดี แม้ความรักจะเริ่มต้นจากความพึงพอใจเปลือกนอก แต่สาววันนี้ก็เอาใจใส่คนรัก คอยดูแลไม่ห่างไกล ผู้หญิงวันนี้มักจะได้คู่ที่มีความต่างกับตนมาก ไม่หน้าตา ก็อายุ ไม่อายุ ก็ฐานะ ชีวิตครอบครัวมีความสุขดีพอควร ช่วงที่เหมาะจะออกเรือน ก็ช่วงอายุ ๒๗ ถึง ๓๑ ปี ซึ่งถือว่ากำลังดี สาววันนี้ถ้าแต่งตั้งแต่อายุน้อยๆ มักไม่เป็นสุขทะเลาะเบาะแว้ง จนถึงขั้นหย่าร้างก็อาจเป็นได้ ลูกของสาววันจันทร์ จะเสริมชะตามากหากเกิดในวันศุกร์ หรืออาทิตย์ ลูกคนแรกควรเป็นชาย นี่คือข้อมูลเชิงสถิติของหญิงเกิดวันจันทร์ส่วนใหญ่ ไม่ได้หมายความว่าต้องทุกคนไป ถ้าเราเป็นแม่ที่ดีมีลูกวันไหน ก็ถือว่าใช้ได้หมด

ทิศมงคลของคนวันจันทร์
คนวันจันทร์ นามราชสีห์ ธาตุไม้ อายุสิบห้าจะพาร้อนใจเพราะเหล่าคนพาล พอยี่สิบสามจะมีโชคให้สุขสบายได้ กลับสามสิบเกิดทุกข์เข็ญให้ระวังตนไว้ ห้าสิบเศษเมื่อใดตำราว่าจะพ้นทุกข์สุขทวี ทิศมูละคือบูรพา พระเทพบูชาตั้งไว้ หรดี ต้นไม้ปลูกได้ดีต้องทิศอีสาน บ่อน้ำสระน้ำสร้างอาคเนย์ ห้องหุงหาทำครัว ต้องทิศพายัพ บริวารพร้อมสรรพไว้ทิศทักษิณ

คนวันจันทร์
๒ จันทร์เป็นบริวาร มิตรสหายมักเบียดเบียน ญาติพี่น้องให้โทษมากกว่าให้คุณ
๓ อังคารเป็นอายุ อายุไม่ค่อยยืน หากรักทางนักเลงให้เร่งระวังตน
๔ พุธเป็นเดช มีเดชน่าเกรงขาม ดังพระราม
๕ พฤหัสเป็นมูละ รูปงาม ดูดี เป็นที่พอใจแก่ผู้พบเห็น
๖ ศุกร์เป็นมนตรี มีคู่ครองหลายคน สับสนวุ่นวาย
๗ เสาร์เป็นศรี มีลักษณะไปทางนักเลง น่าเกรงขาม
๘ ราหูเป็นอุตสาหะ ไม่มีความเพียร ทำการเชื่องช้า ชอบความสุขสบาย
๑ อาทิตย์เป็นกาลกิณี ใจร้อนวู่วาม เอาแต่ใจตน

คนเกิดวันจันทร์ มักมีปัญหาเรื่องชู้สาว และคดีความ มีกรณีพิพาทขัดแย้งบ่อยครั้ง ที่พึงระวังคือ อารมณ์รุนแรงและความประมาท หากรอบคอบถ้วนถี่ คนวันจันทร์จะดีไร้ที่ติ คนวันจันทร์ที่มีดาวเสียในเรือนชะตาควรบูชาเทพพระจันทร์คู่กันกับพระพุทธ จะช่วยให้มีความมั่นคงลงตัวขึ้นทุกรูปแบบการดำเนินชีวิต ..

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เทพ ประจำตัวมาตั้งแต่เกิด


ทุกๆคนเกิดมาล้วนมีเทพ ประจำตัวมาตั้งแต่เกิด ใครเกิดวันไหนแล้วมีเทพประจำวันเกิดคือใครมาดูกันเลย

วัน อาทิตย์ เทพเจ้าแห่งการแพทย์ , สง่างาม , มีเกียรติ , ตรงต่อเวลา , มีเสน่ห์

วันจันทร์ เทพเจ้าแห่งคุณไสย , รักสวยรักงาม , โอบอ้อมอารีย์ , ชอบสังสรรค์

วันอังคาร เทพเจ้าแห่งสงคราม นักวางแผน,ใจบุญ,ชอบโลดโผน,จอมเจ้าชู้

วัน พุธ เทพเจ้าแห่งการพูด , นักขาย , นักประพันธ์ , นักพูด , นักร้อง

วันพฤหัสบดี จ้าวแห่งเทพ นักค้นคว้า , นักเขียน ,นักออกแบบ ,นักเทศน์,นักพูด

วันศุกร์ เทพเจ้าแห่งความงาม และศิลปะ

วันเสาร์ เทพเจ้าแห่งการกสิกรรม , สันโดด, กระตืนรือร้น , มานะอดทน

---------------------------------------------------------


วัน อาทิตย์
เทพเจ้าแห่งการแพทย์
สง่างาม,มีเกียรติ,ตรงต่อเวลา,มี เสน่ห์


วันจันทร์
เทพเจ้าแห่งคุณไสย
รักสวยรัก งาม,โอบอ้อมอารีย์,ชอบสังสรรค์


วันอังคาร
เทพเจ้าแห่งสงคราม
นักวางแผน,ใจ บุญ,ชอบโลดโผน,จอมเจ้าชู้


วันพุธ
เทพเจ้าแห่งการพูด
นักขาย,นัก ประพันธ์,นักพูด,นักร้อง


วันพฤหัสบดี
จ้าวแห่งเทพ
นักค้นคว้า,นัก เขียน,นักออกแบบ
นักเทศน์,นักพูด


วันศุกร์
เทพเจ้าแห่งความงาม และศิลปะ


วันเสาร์
เทพเจ้าแห่งการกสิกรรม
สันโดด,กระ ตืนรือร้น,มานะอดทน


-

เลขวันเกิดของเราถูกควบคุมด้วยเทพองค์ใด

อยาก รู้มั้ยว่าเลขวันเกิดของเราถูกควบคุมด้วยเทพองค์ใด ถ้าอยากรู้ก็ต้องลองดู


บุคคลหมายเลข 1 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 1,10,19 และ 28

ถูกควบคุมโดยพลังแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นเทพเจ้าแห่งความสดใส เป็นความรัก ที่ถูกกระตุ้นให้ร่าเริงอยู่เสมอ กระตือรือร้นที่จะรัก ชอบแสดงออก เมื่อรักแล้วจะเต็มไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์ เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา เป็นรักที่เปิดเผย มักจะบอกกล่าว ให้คนรอบข้างและสาธารณชนได้รับรู้ ในมุมกลับกันถ้ารักเป็นพิษหรือไม่สมหวัง ก็พร้อมที่จะแผดเผาด้วยอารมณ์ที่รุนแรงได้เช่นกัน มุมมองด้านความรัก คือ ทะเยอทะยาน เร้าใจเหมือนรถแข่งที่พร้อมจะทะยานเข้าสู่เส้นชัย


บุคคลหมายเลข 2 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 2,11 ,20 หรือ 29

ถูกควบคุมโดยพลังแห่งดวงจันทร์ หรือเทพีแห่งยามค่ำคืน เป็นความรักที่อ่อนโยน อบอุ่น โรแมนติค ครุ่นคิด ไตร่ตรอง ทบทวน แผ่วเบา ดำเนินไปอย่างช้า ๆ แต่ต่อเนื่องยาวนาน ในมุมกลับกันมักจะครุ่นคิด จนวิตกกังวล หึงหวงเกินขอบเขต มุมมองด้านความรัก คือ ลึกซึ้ง อ่อนโยน เหมือนเรือที่วิ่งเข้าสู่ท่าเทียบเรืออย่างสงบ


บุคคลหมายเลข 3 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 3, 12,21 และ 30

ถูกควบคุมโดยพลังของดาวพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นเทพเจ้าของการเรียนการสอน รูปแบบ แห่งรักจึงมีการชี้นำ การอบรม เป็นห่วงเป็นใย แบบพ่อแม่ดูแลบุตร พี่ชายดูแลน้องสาว ครูบาอาจารย์ดูแลศิษย์ มีความเอื้ออาทรเป็นสายใย นี่คือแบบฉบับของรักที่เปี่ยมไปด้วยไมตรี บางคู่ก็อาจเป็นรักที่เกิดจากคนต่างวัย แต่มีสายใยแห่งความเข้าใจเป็นสิ่งผูกมัด ในมุมกลับกันก็พร้อมที่จะเป็นรักในรูปแบบที่เย็นชา วุ่นวายเรื่องส่วนตัวเกินขอบเขต มุมมองด้านความรัก คือ การสนทนานำพาสติปัญญาให้งอกงาม


บุคคลหมายเลข 4 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 4,13,22 และ 31

ถูกควบคุมพลังแห่งรักโดยดาวมฤตยู หรือดาวยูเรนัส เทพเจ้าแห่งความคิดอิสระ มีการกระทำในมุมที่ผู้อื่นคาดการณ์ไม่ถึง ความรักบางครั้งก็ยากแก่การคาดการณ์ อาจเจอปุ๊บรักปั๊บ หรือไม่รักไม่หวง แต่คอยติดตามความคืบหน้าอยู่ตลอดเวลา เป็น ความรักที่เกิดขึ้นได้โดยไม่มีการเตรียมพร้อม แต่พร้อมที่จะรัก ในมุมกลับกันก็พร้อมที่จะเย็นชา ไร้ความรู้สึก ไร้ความสนใจ เหมือนทุกอย่างคือความว่างเปล่า มุมมองด้านความรัก คือ สายลมที่นำพาทุกอย่างมาพร้อมกัน


บุคคลหมายเลข 5 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 5,14 และ 23

ถูกควบคุมโดยพลังแห่งดาวพุธ ซึ่งถือว่าเป็นดาวดวงเล็ก แต่มีฤทธิ์ค่อนข้างเกินตัว โดดเด่นทางด้านเดินทาง และมีวาทศิลป์ในการเจรจา สื่อถึงความรักที่โลดแล่นไปตามจังหวะชีวิต ขึ้นลง ตามภาวะเหตุการณ์ และการเจรจาพาที เป็นความรักที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสื่อสารถึงกันตลอดเวลา แม้ว่าจะห่างกันคนละมุมโลก ความรักเหมือนปรอท เจอแล้วมักมีเหตุให้จากกันชั่วครู่ เมื่อทำภารกิจสำคั*สำเร็จแล้ว ถึงจะได้ย้อนกลับมาเจอกันอีก เรียกว่าจบลงด้วยดีในตอนปลาย ในมุมกลับกันมักเป็นประเภทรักง่าย หน่ายเร็ว มุมมองด้านความรัก คือ อกหักดีกว่ารักไม่เป็น


บุคคลหมายเลข 6 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 6,15 และ 24

ถูกควบคุมโดยเทพีวีนัส ซึ่งเปรียบเสมือนเทพีแห่งความรัก เต็มไปด้วยความรักที่มีเสน่ห์ล้นเหลือ เป็นรักที่ยั่วยวนชวนให้หลงใหล เต็มไปด้วยสีสันจินตนาการที่ไร้ขอบเขต ในมุมกลับกันเป็นความรักที่ถูกครอบงำโดยการหลงใหล ประเภทรักไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักเวลา ขอเพียงให้ได้รักหรือถูกรักก็พอใจ มุมมองด้านความรัก ความรักคือโอสถทิพย์


บุคคลหมายเลข 7 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 7,16 และ 25

ถูกควบคุมโดยดาวพระเกตุ (เนปจูน) เป็นความรักที่ค่อนข้างอิสระเสรี เป็นตัวของตัวเอง เป็นรักที่มีจุดยืนชัดเจนว่าฉันเป็นของฉันอย่างนี้ คุณจะเป็นแบบไหนก็คือแบบฉบับของคุณ ขอเพียงแค่เข้าใจในจุดร่วมก็สามารถรักกันได้ ในมุมกลับกันบางครั้งอิสระมากเกินไป จนดูว่าห่างเหินขาดการติดต่อ ไม่สม่ำเสมอ มุมมองด้านความรัก คือ ขอบฟ้าที่กว้างไกล คือสายใยแห่งความรัก


บุคคลหมายเลข 8 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 8,17 และ 26

ถูกควบคุมโดยดาวเสาร์ เป็นตัวแทนของ เทพเจ้าแห่งความสง่างาม ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ยามสงบนิ่ง ในด้านของความรักมักจะก่อตัวอย่างเงียบๆ เปรียบเสมือนถ่านร้อนที่คุโชน เป็นรักที่ไม่ค่อยชอบแสดงออก หรือเปิดเผยในการกระทำมากมาย แต่ก็ก่อตัวอย่างสงบ และหนักแน่นมั่นคง นมุมกลับกันบางครั้งก็ดูเย็นชาจนขาดความตื่นเต้นเร้า ใจ มุมมองด้านความรัก คือ หนักแน่นและมั่นคงดุจขุนเขา


บุคคลหมายเลข 9 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 9,18 และ 27

ถูกควบคุมโดยดาวอังคาร ในแง่ของความรักแล้วถือว่า เป็นรักที่ต้องแข่งขันถึงจะเข้าเส้นชัย เป็นคู่รักที่ต้องใช้ความอดทน จนถึงขั้นทรหดในการประคองความรัก แต่ถ้าถึงที่หมายแล้วล่ะก็ เชื่อได้ว่าจะเป็นอมตะแห่งรักที่มั่นคงและอบอุ่น ในมุมกลับกันเป็น ความรักที่ก้าวร้าว เห็นแก่ตนเองเป็นสำคั* มุมมองด้านความรัก คือ การแข่งขันย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จ

เทพประจำ 7 วัน

เทพทั้ง 7 วันนั้นจะมีรูปพรรณสัณฐานที่แตกต่างกันไป และทรงพาหนะคนละอย่างตามความถนัด แต่ละองค์ล้วนมีอิทธิฤทธิ์โดเด่นไปคนละอย่าง
เริ่มจาก......

1. ความเป็นมาของ พระอาทิตย์
พระอาทิตย์เกิดมาถือว่าอาภัพนัก เพราะต้องรอนแรมไปในสถานที่ต่าง ๆ ทั้งเทวโลกและโลกมนุษย์ ไม่มีที่อยู่แน่นอนกับใครสักแห่ง เพราะด้วยว่าเกิดมา มีรัศมีร้อนแรง แทบจะมอดไหม้ทุกสรรพสิ่งให้มลายได้ แม่พระมารดาอย่างนางอทิติเองก็ยังไม่กล้าที่จะพาโอรสองค์ที่ 8นี้ขึ้นเฝ้าพระบิดาผู้เป็นเทพเลย แถมยังเข้าใกล้ไม่ได้อีกด้วย
เมื่อไม่มีใครโปรดก็ทำให้พระอาทิตย์เกิดความน้อยใจยิ่ง จนเสด็จไปเรื่อย ๆ จนได้พบกับพระนางสัญญา ธิดาของพระวิศวกรรม ก็บังเกิดความรักดั่งกามเทพแผลงศร แม้มีผิวร้อนแรงแต่นางสัญญาก็ทน จนอยู่ด้วยกันระยะหนึ่งก็ต้องหนีออกไป เพราะร้อนจนทนไม่ได้
เมื่อพระ วิศวกรรมทราบทราบว่าธิดาทนพระอาทิตย์ไม่ได้จนถึงกับต้องหนีมาบวชอยู่ในป่าก็ นึกสงสาร อยากให้ทั้ง 2 อยู่ด้วยกันอีกครั้ง และพระอาทิตย์เองก็มาอ้อนวอนขอให้ช่วยเหลือในเรื่องนี้ พระวิศวกรรมจึงแนะนำให้พระอาทิตย์ขูดผิวกายออกบ้าง เพื่อจะได้ลดความร้อนแรงลงไปบ้าง เมื่อใครเข้าใกล้จะได้ไม่เป็นอันตรายอีก พระอาทิตย์ก็ทำตาม เพราะหวังเพียงได้อยู่กับนางสัญญาเท่านั้น หาได้คิดถึงอิทธิฤทธิ์ความร้อนที่ลดลงไม่ หลังจากขูดผิวกายแล้วก็ได้รับพระนางสัญญากลับมาอยู่ด้วยกันดังเดิม
และ ผิวที่ขูดออกมานั้น พระวิศวกรรม ก็ได้นำมาสร้างเป็นอาวุธแจกเหล่าเทวดาทั้งหลาย ซึ่งมีอานุภาพเหนืออาวุธใด ๆ หลายพันเท่า ทั้งพระนารายณ์ และพระอิศวร ต่างชอบใจในอาวุธที่ได้รับอย่างมาก ถึงขนาดให้รางวัลแก่พระวิศวกรรมเป็นพรคนละอย่าง ขออะไรก็ได้

ลักษณะ ของพระอาทิตย์
พระอาทิตย์ มีพระวรกายสีแดง ทรงฉลองพระองค์สีเหลืองอ่อน แก้วปัทมราชเป็นอาภรณ์ มี 4 กร ดังนี้
กรที่ 1 ห้ามอุบัติเหตุ ห้ามอันตรายทั้งปวง
กรที่ 2 สำหรับประทานพร
กรที่เหลือ อีก 2 กรนั้น ถือดอกบัวไว้ทั้งคู่
พาหนะที่ใช้เป็นรถเทียมด้วยม้า 7 ตัว มีสารถีเป็นคนบังคับด้วยคนหนึ่ง

ทำนาย ผู้เกิดวันอาทิตย์
กล่าวกันว่า ผู้ใดที่เกิดในวันอาทิตย์นั้น จะต้องเร่ร่อนไปตามสถานที่ต่าง ๆ หรือมิได้อยู่บ้านเกิด เมืองนอน ของตนเอง มีอารมณ์ร้อนแรงเป็นจังหวะ เช่นเดียวกับความเป็นมาของเทพพระอาทิตย์ผู้นี้ ที่เป็นเทพประจำวันคนที่เกิดวันอาทิตย์



2. ความเป็นมาของ พระจันทร์
พระจันทร์เป็นเทพที่มีรูปร่างสง่างาม ใครเห็นใครรัก ด้วยความหล่อเหลาทำให้สาวงามในชั้นเทพพากันหลงใหลและยอมมอบกายมาเป็นสนมรับ ใช้ด้วยกันหลายองค์ จึงถือว่าพระจันทร์เป็นเทพที่เจ้าชู้ที่สุด
พระจันทร์เป็นพระราชโอรสของพระอัตริมุนี กับนางอนสูยา แต่บางตำนานก็บอกว่าพระอิศวรเป็นผู้สร้างขึ้นมาจากผงนางฟ้า 15 นาง จึงมีรูปร่างงามยิ่งนัก แต่บางตำนานก็บอกอีกว่าเกิดจากการกวนน้ำทิพย์ของเหล่าเทวดา ซึ่งทำให้เกิดเทพมากมาย แต่ที่ตรงกันคือ พระจันทร์เจ้าชู้ มีรูปร่างงามต้องใจ มีสนมมากมาย รวมแล้วได้หลายสิบองค์

ลักษณะของ พระจันทร์
พระจันทร์มีพระวรกายขาวเป็นยองใย ทรงอาภรณ์ด้วยแก้วพระกาฬ อาวุธประจำกายคือพระขรรค์ มีม้าเป็นพาหนะ ล้วนมีสีขาวทั้ง 10 ตัว

ทำนายผู้ที่เกิดวันจันทร์
กล่าวกันว่า ผู้ใดเกิดวันจันทร์นั้น จะมีจิตใจรวนเร มีรักมาก มีรูปร่างและเสน่ห์เย้ายวนเพศตรงข้ามได้ดีนัก เปรียบเสมือนเทพพระจันทร์ทีเดียว


3. ความเป็นมาของ พระอังคาร
พระอังคารเป็นบุตรของพระนารายณ์กับพระธรณี มีอารมณ์รุนแรง นิสัยค่อนข้างดุร้าย ขี้โมโห เจ้าอารมณ์ จนไม่มีบริวารคนไหนกล้าสู้หน้า ยามที่พระองค์อารมณ์กราดเกรี้ยว แต่ทว่านิสัยพระองค์ก็แปรปรวนง่ายเช่นกัน เหมือนมนุษย์ที่มีนิสัยโกรธง่ายหายเร็ว มีนิสัยกล้าหาญชาญชัยอย่างยิ่ง ด้วยความเก่งกาจจึงได้รับมอบหมายจากพระอิศวรให้เฝ้าเขาพระเมรุด้านทิศ อาคเนย์เอาไว้

ลักษณะของพระอังคาร
พระอังคารชอบฉลองพระองค์ด้วยผ้าภูษาสีแดง และชอบทัดดอกไม้อยู่เป็นประจำ มี 4 พระกร อาวุธครบมือ ทรงกระบือเป็นพาหนะ

ทำนายผู้ที่เกิดวันอังคาร
กล่าวกันว่า ผู้ใดเกิดวันอังคารนั้น จะมีอารมณ์รุนแรง ไม่ค่อยยอมใคร มีนิสัยขี้โมโหง่าย แต่ก็หายเร็ว ยามดีก็ดีใจหาย หากยามร้ายใครก็เอาไม่อยู่ เป็นคนดวงแข็งคนหนึ่งทีเดียว เช่นเดียวกับเทพวันอังคาร



4. ความเป็นมาของ พระพุธ
พระพุธเป็นบุตรของพระจันทร์ กับพระนางโรหิณี หรือพระนางดารา ที่พระจันทร์ลักพามาเป็นชายาอีกองค์หนึ่ง ก็ยังไม่แน่ชัดในเรื่องนี้ เมื่อเจริญวัยขึ้นพระพุธก็ได้พบรักกับพระนางอิลา ซึ่งในตำนานมีว่าเป็นชายแต่แปลงร่างเป็นหญิง จนถูกลงโทษให้เป็นหญิงชายสลับกันไป
พระพุธท่ามีวาจาเป็นเลิศ ฉลาด และรอบรู้ทุกอย่าง

ลักษณะของพระพุธ
มีพระวรกายสีแก้วมรกต มีวิมานแก้วเป็นที่ประทับ ได้ใช้ช้างเป็นพาหนะประจำพระองค์

ทำนาย ผู้ที่เกิดวันพุธ
กล่าวกันว่า ผู้ใดเกิดวันพุธนั้น มีความสามารถ ฉลาดประกอบอาชีพ หากมีอาชีพค้าขายจะประสบความสำเร็จเมื่อบั้นปลาย จะต้องใช้ความอดทนเป็นที่ตั้ง ลำบากตอนต้นสบายตอนแก่


5. ความเป็นมาของ พระพฤหัสบดี
เทพองค์นี้ยามเยื้องย่างไปทางไหนนั้นดูสง่างามหมดจด มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง คือ ชอบถือกระดานชนวนไปด้วยทุกหนแห่ง ด้วยมีภูมิปัญญาที่ฉลาดเฉลียว จนมีชั้นเป็นถึงอาจารย์ของเทวดาทั้งหลาย
พระพฤหัสบดีเป็นบุตรของพระอังคิรสมนีกับพระนางสมปฤดี ซึ่งเป็นตระกูลฤาษีโดยแท้ พระองค์มีพระมเหสี 2 พระองค์นามว่า พระนางดารา และพระนางมนตา

ลักษณะของพระพฤหัส
พระวรกายมีสีเขียว มีน้ำสีรุ้งกลอกกลิ้งไปมา อาภรณ์ทำด้วยแก้วมุกดา ในมือถือกระดานชนวน มีวิมานบุษราคัมประทับใหญ่โตโอ่อ่า

ทำนายผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี
กล่าวกันว่า ผู้ใดเกิดวันพฤหัสบดีนั้น เป็นคนหนักแน่นมีเพื่อนฝูงมาหน้าหลายตา มักประสบความสำเร็จในส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ก็ได้มาด้วยความลำบากมิใช่น้อย



6. ความเป็นมาของ พระศุกร์
เป็นเทพแห่งความรักความสุขและความสงบ เมื่อพระศุกร์เสด็จไปที่ใดความร่มเย็นมักเกิดที่นั่น เหตุนี้เองทำให้พระองค์มีเพื่อนฝูงมากและเป็นที่เคารพของเทวดาทั่วไปโดยส่วน หนึ่ง ด้วยความดีที่มีทำให้ได้รับหน้าที่ดูแลเขาพระสุเมรุ ทางทิศอุดร และยังเป็นปุโรหิตประจำเท้าพลีอีกด้วย
พระศุกร์เป็นบุตรของพระราชคุปชบดีกับนางชยาติ

ลักษณะของพระศุกร์
พระวรกายสีจำปา มีลูกประคำคล้องคอ และถือไม้เท้าเป็นเอกลักษณ์ ประทับอยู่ที่วิมานทอง ไม่มีอาวุธใด ๆ เพราะพระองค์ไม่พิศมัยในการสงครามจึงไม่มีอิทธิฤทธิ์ในด้านการทำร้าย

ทำนายผู้ที่เกิดวันศุกร์
กล่าวกันว่า ผู้ใดเกิดวันศุกร์นั้น จะมีนิสัยเก็บตัว มีความเป็นอยู่ง่าย ๆ รักความสงบ หากยามใดมีรักก็จะทุ่มเทชีวิตจิตใจให้จนหมด และก็มักจะสลัดรักนั้นได้ง่ายด้วยเช่นกันหากรู้ว่าคู่รักเปลี่ยนใจ เข้ากับคนง่าย มักจะพึ่งพาตัวเองเป็นหลัก



7. ความเป็นมาของ พระเสาร์
เป็นเทพที่ดุ นัยน์ตาดุดันไม่ค่อยยอมอ่อนข้อให้ใคร และมักจะไม่ค่อยพาองค์ไปยุ่งกับใครหากไม่จำเป็น ชอบทำงานที่ออกหน้าออกตา ใหญ่โต มีสติปัญญาออกฉลาดแกมโกงนิด ๆ เป็นโอรสของพระอาทิตย์ และพระนางสัญญา

ลักษณะของพระเสาร์
พระเสาร์ชอบฉลองอาภรณ์ที่เป็นสีดำตามผิวพระวรกาย มีพาหนะเป็นเสือ

ทำนายผู้ที่เกิดวันเสาร์
กล่าวกันว่า ผู้ใดเกิดวันเสาร์นั้น ต้องลำบากตรากตรำหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ไม่ค่อยได้รับการอุปถัมภ์เหมือนคนเกิดวันอื่น ๆ ต้องอาศัยลำแข้งของตัวเองเป็นหลัก แต่ผู้ใดที่ประสบความสำเร็จจากอาชีพ ก็จะมีคนยกย่องและยำเกรงเป็นส่วนใหญ่ แต่กว่าจะก้าวขึ้นมาถึงขั้นนั้นก็ลำบากมิใช่น้อย


พอดีได้อ่านเจอแล้วสนุกดี จึงนำมาลงบล็อกไว้เผื่อเพื่อน ๆ ชอบเรื่องแนวนี้เหมือนกัน เรื่องที่เล่านี้เป็นตำนานเทพของฮินดู

พระ อังคาร

พระ อังคาร

พระอังคาร พระประจำวันเกิด วันอังคาร

พระอังคารมีหลายพระฉายา ในฐานะที่เป็นนักรบ คุหะ ( ผู้ลึกลับ ) ยุทธรังคะ ( เด็กชาย ) ศักติธร ( ผู้ถือหอก ) ทวาทศกร มี ๓๒ มือ ตารกชิต ( ผู้ปราบตารกา ) สิทธเสน ( หัวหน้าพวกนักสิทธิ์ )

พระอังคาร เทพเจ้าแห่งเลือด และสงคราม เทพศาสตรา หอก ศูล กระบอง ฉุนเฉียว โหดเหี้ยม ดุร้าย

ตำนานเทวกำเนิดกล่าวว่า องค์พระศิวะ มหาเทพ ทรงนำมหิงสา ๘ ตัว ร่ายพระเวทย์ให้ละเอียดลงเป็นผง รองรับด้วยผ้าสีโลหิต กำกับด้วยพระคาถาศักดิ์สิทธิ์ ประพรมน้ำอมฤต กำเนิดเป็นองค์เทพบุตร วันอังคาร มีลักษณะมหาบุรุษผู้เข้มแข็ง อาภรณ์ทรงแก้วโกเมน มีวิมานสีทับทิม หอกเป็นอาวุธ ทรงมหิงสาเป็นพาหนะ

เป็นเทพประจำ ฤดูวรรษ ( ฤดูฝน )
สถิตในทิศอาคเนย์ ประจำอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของเขาพระสุเมรุ
และแสดงถึงอักษรวรรค จะ ( จ ฉ ช ฌ ญ )

ในโหาราศาสตร์ไทย ใช้เลขประจำวันอังคาร เป็นเลข ๓
และเนื่องมาจากทำด้วยมหิงสาแปดตัว พระอังคารจึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น ๘
พระประจำวันเกิด คนวันอังคารคือ ปางไสยาสน์

ทิศมงคล ทิศทักษิณ
อัญมณีประจำวันเกิด บุษราคัม
แม่ซื้อประจำวันเกิด นางยักษ์ บริสุทธิ์ ( กายสีชมพู )
คาถาบูชาดวงชะตา ชื่อคาถา ฝนแสนห่า ภาวนาวันละ ๘ คาบ ( ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง )

ตามชาติเวร พระอังคารเป็นมิตรกับพระศุกร์ และเป็นศัตรูกับพระอาทิตย์ และพระเสาร์

ในกาลครั้งหนึ่ง พระเสาร์เกิดเป็นไม้ตะเคียน พระอังคารเกิดเป็นพระยาโปลิสาท วันหนึ่งพระยาโปลิสาทเดินไปสะดุดรากตะเคียนที่โผล่พ้นพื้นมา เป็นเหตุให้

เสี้ยนไม้ตะเคียนตำไดรับความเจ็บปวด จึงมีความเคืองแค้นตั้งแต่ชาติภพนั้นมา จากนั้นจึงเป็นศัตรูกันเรื่อยมา ดังนั้นอังคารหมุนมาพบเสาร์คราวใด จะเกิดปวดตามข้อกระดูก เจ็บมือ เจ็บเท้า กับเจ้าชะตา และเมื่อเสาร์เข้าเรือนอังคารถือกันนักว่าห้ามเดินทางไกล จะเสี่ยงภัยพิบัติ เร่งระมัดระวัง

อีกกาลหนึ่ง พระอังคารเกิดเป็นพญาราชสีห์ พระอาทิตย์เกิดเป็นนกหัวขวาน พญาราชลืห์กินเนื้อกินปลา แล้วก้างและกระดูกเกิดติดคอ วานให้นกหัวขวานช่วยล้วงเอากระดูกออกให้ นกกลับเจาะคอเป็นแผลลึกแล้วดึงกระดูกชิ้นนั้นออกมา ยังความเจ็บปวดทรมานกับราชสีห์ยิ่งนัก จึงผูกใจเจ็บมานับแต่นั้น

กาลต่อมา พระอังคารเกิดเป็นกบ พระเสาร์เกิดเป็นงู พระศุกร์เป็นรุกขเทวา กบอยู่ในโพรงไม้ที่พระศุกร์เป็นเทพารักษ์ประจำอยู่ งูพระเสาร์เห็นก็จะเข้ามาจับกิน รุกขเทวาก็ร้องตวาดงู งูล่าถอยไปไม่ได้กินกบเป็นอาหารในมื้อนั้น กบพ้นอันตรายจึงสำนึกบุญคุณรุกขเทวาสืบมา ยามใด ศุกร์กับอังคารมาเจอกัน เจ้าชะตาจะปลอดโรคภัย แคล้วคลาด มีความสุขในช่วงชีวิตเสมอ

ดาวอังคารเป็นพิภพก้อนใหญ่ มีดินฟ้าอากาศคล้ายๆกับโลก วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ ๔,๒๑๑ ไมล์ คิดเป็นตารางเหลี่ยมได้ ๗๘,๕๐๓,๐๐๐ มีความดึงดูด วินาทีละ ๖๑๑ ฟุต และหมุนรอบตัวเองใน ๒๔ ชั่วโมง ๓๗ นาที ๒๒ วินาที อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ ๑๔๓,๖๕๐,๐๐๐ ไมล์ โคจรรอบดวงอาทิตย์ ๖๘๗ วัน ๒๓ ชั่วโมง ๓๑ นาที ชนชาวอริยกะ จัดพระอังคารไว้ในจำพวก ปัญจนาคาด้วย

วันอังคาร สีประจำวันคือสีชมพู สีชมพูจัดเป็นสีบริวาร สีเขียวเป็นสีสุขภาพ อายุ ม่วงกับดำ เป็นเดช ส้ม แสด เป็นสีศรี มีคนรักใคร่ไหลหลง เทาทึบ สีโทนหม่นไม่สดใส เป็นสีร่ำรวยของคนวันอังคาร น้ำเงินเป็นอุตสาหะเสริมความอดทน อดกลั้น มานะ บากบั่น แดงทอง เป็นสีมนตรีผู้หลักผู้ใหญ่ เจ้านายรักเอ็นดู อุ้มชู สนับสนุน ขาว ครีม นวล เหลือง เป็นกาลกิณี

พระอังคาร เป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ ให้ผลในทางรุนแรงและเร่าร้อน ผู้ใดเกิดวันอังคาร หรือมีพระอังคารสถิตร่วมกับลัคนา มักมีอารมณ์มุทะลุ ชอบใช้กำลัง ใจร้อน เป็นคนดวงแข็ง ชอบตีรันฟันแทง มักวางโตโง่แกมหยิ่ง กล่าวกันว่าผู้ใดเกิดวันอังคารนั้น จะมีอารมณ์รุนแรง ไม่ค่อยยอมใคร มีนิสัยขี้โมโหง่ายแต่ก็หายเร็ว ยามดีก็ดีใจหาย หากยามร้ายใครก็เอาไม่อยู่ สร้างตัวด้วยกระบือ ดังนั้น นิสัยและความรู้ของพระอังคารจึงเหมือนกัน มีปัญญาโง่ทึบ อาศัยได้แต่กำลังกาย ฉะนั้นคนวันอังคารจังมักเป็นคนใจแข็ง ใจร้อนโมโหง่าย ใจเร็ว ใจง่าย ใจน้อย โกรธง่าย ทำงานชอบเร็ว แต่เร็วแค่แรกเริ่ม ได้ทำราชการมักเจริญดีเมื่อตอนต้น ผลสุดท้ายทรุดโทรม ทั้งความคิด นิสัยคนวันนี้จะหนักไปทางทำลายตัวเอง นิสัยเจ้าชู้ กามราคะร้ายแรง

หญิงชายใดเกิดวันอังคาร
๓ เป็นอัตตะ มีมิตรสหายมากมาย พอพึ่งพาอาศัยกันได้บ้าง ส่วนญาติพี่น้องนั้นหาพึ่งได้ยากเย็น จะมีตกกระ ไฝฝ้า ตำหนิหรือบาดแผลตามใบหน้าลำคอ มีสติปัญญาดี กล้าได้กล้าเสีย ใจร้อน โกรธง่าย
๔ เป็นหินะ มักขี้โอ่ มีอะไรมักชอบอวด ระวังจะโดนเบียดบัง รังแก เอาเปรียบ
๕ เป็นธะนัง บูรพาจารย์ท่านว่าเป็นคนมักได้ แต่ได้มาก็จะถูกผู้อื่นเบียดบังไปอีกทีแทน
๖ เป็นปิตา บิดาเสียชีวิตก่อนมารดา มีข้าทาสรับใช้ บริวารดี ต่อไปจะมีบุญวาสนาในบั้นปลาย
๗ เป็นมาตา มารดาเป็นคนร่างเล็กสันทัด ญาติพี่น้องมีไม่มากนัก
๑ เป็นโภคา ท่านว่ามีความสามารถในการเสาะหา และเก็บทรัพย์ได้ในระดับหนึ่ง
๒ เป็นมัชฌิมา ตำราว่ามีมิตรสหายมาก ใจนักเลง เจรจาเข้าที ไปแห่งหนใดมีคนต้อนรับ

คนเกิดวันอังคาร ปีชวด ( หนู )
หนูในกรง โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้
ตกภาค ท้าวมหายักษ์นำพระยาสัตลุงไปขังไว้ ทำนายว่าจะได้รับความลำบาก ยุ่งยากใจเพราะผู้ใหญ่และญาติมิตรบริวาร

คนเกิดวันอังคาร ปีฉลู ( วัว )
วัวพเนจร โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้
ตกภาค ชีวิตอาภัพ ไม่ค่อยมีหลักแหล่ง ทำมาหากินลำบาก ต้องพึ่งตัวเองอาศัยผู้อื่นได้ยาก มักเจ้าสำราญ ไม่คิดถึงวันข้างหน้า

คนเกิดวันอังคาร ปีขาล ( เสือ )
เสือกินคน โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ดี
ตกภาค มีอำนาจ วาสนา แข็งกล้า โทสะร้าย ควรระวังอารมณ์ร้อนรุนแรงของตนให้จงหนัก

คนเกิดวันอังคาร ปีเถาะ ( กระต่าย )
กระต่ายพเนจร โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้
ตกภาค ต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนัก ควรเลือกคบคน และมีสติอย่างยิ่งในการใช้ชีวิต

คนเกิดวันอังคาร ปีมะโรง ( งูใหญ่ )
งูพิษ โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้
ตกภาค เย่อหยิ่ง ทนงตัว ยโสโอหัง ดุร้ายฉุนเฉียว เอาตนเป็นใหญ่ ไม่เห็นใจใคร เอาตัวรอดเก่ง

คนเกิดวันอังคาร ปีมะเส็ง ( งูเล็ก )
งูออกหากิน โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้
ตกภาค ชะตาชีวิตลำบาก ภายภาคหน้าจึงสุขสบาย ต้องใช้ความอดทนอย่างหนักจึงจะตั้งหลักได้

คนเกิดวันอังคาร ปีมะเมีย ( ม้า )
ม้าพระราชา โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ดีมาก
ตกภาค ความเป็นอยู่สมบูรณ์ จะได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น และจะช่วยเหลือผู้อื่นได้

คนเกิดวันอังคาร ปีมะแม ( แพะ )
แพะตาฟาง โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้
ตกภาค สุขภาพไม่ค่อยดี ระวังโดนล่อลวงเอารัดเอาเปรียบ หวังพึ่งผู้อื่นได้บ้างเล็กน้อย

คนเกิดวันอังคาร ปีวอก ( ลิง )
ลิงถูกขัง โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ปานกลาง
ตกภาค ชีวิตทุกข์เข็ญ สุขภาพแย่ ระวังเคราะห์เกี่ยวกับคดีความ ห้ายุ่งเรื่องของคนอื่นเด็ดขาด

คนเกิดวันอังคาร ปีระกา ( ไก่ )
ไก่ชน โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ปานกลาง
ตกภาค ใจนักเลง เหนื่อยยากในช่วงต้นถึงกลางชีวิต จะได้ดีในบั้นปลาย คนจะช่วยเหลือต่อเมื่อมีผลประโยชน์ ทำอะไรให้เค้าได้

คนเกิดวันอังคาร ปีจอ ( หมา )
สุนัขพเนจร โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้
ตกภาค มักมีโรคภัยไข้เจ็บ ทำมาหากินลำบากมาก เร่งแก้ไขเรือนชะตา

คนเกิดวันอังคาร ปีกุน ( หมู )
หมูเศรษฐีเลี้ยง โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ดีมาก
ตกภาค อุดมสมบูรณ์ มีผู้หลักผู้ใหญ่ อุ้มชูช่วยเหลือ วาสนาดี

คนเกิดวันอังคารทั่วๆไป
จิตใจกล้าหาญ ฮึกเหิม ชอบทำการใหญ่ใจนักเลง ชอบเสี่ยงและทำสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ เป็นคนมีปัญญามีความสามารถสูง ทำอะไรประสบความสำเร็จ แต่ชัยชนะมักได้มาแบบไม่สะอาด คนเกิดวันนี้ไม่ค่อยเสียเปรียบใครนอกจากคนที่รักจริงๆ เป็นคนแข็ง ไม่ยอมอ่อนข้อง่ายๆ นอกจากมีผลประโยชน์ เป็นคนคิดการณ์ไกล ทำอะไรพิจารณาดี คิดอะไรก็หมายจะให้ได้ดังใจ ผจญเรื่องใหญ่น้อยก็ไม่เคยย่อท้อ คนวันอังคารมักเจรจาอ่อนหวาน แต่หวานนอกขมใน รู้จักการหว่านล้อมชักจูงคนได้ดี คนวันนี้มีมิตรสหายมากหลาย คบคนได้ทุกระดับชั้น กับคนรักมักเอาอกเอาใจเก่ง แต่ก็มักสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจได้มากไม่แพ้กัน

ผู้ชายวันอังคาร ผู้ชายวันนี้ชอบเสี่ยงโชค กล้าได้ กล้าเสีย ใจนักเลง เจรจาพาทีดี บุคลิกที่จะเห็นได้ในครั้งแรกของชายวันนี้คือสุขุมลุ่มลึก มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุจริง แต่เมื่อคบคบกันไปแล้วจะทราบว่า สิ่งที่ซ่อนอยู่ในเกราะนั้น คือความอ่อนไหว เสียอกเสียใจง่ายดาย ต่างจากสิ่งที่ชอบแสดงออก ความเชื่อมั่นของชายวันนี้มักเลยเถิดไปถึงขั้นเผด็จการ จัดการให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ตนเองเชื่อและต้องการ อาชีพและการงาน ควรเป็นอาชีพอิสระ ถ้าต้องทำงานเป็นลูกน้องจะเปลี่ยนงานบ่อย มุมมองเรื่องความรัก ชอบการมีคู่แข่งทางความรัก ถ้าถูกใจใครไม่เคยถอดใจที่จะแย่งชิงมาเป็นของตนให้ได้ เป็นชายที่มีความโรแมนติกอย่างเหลือเฟือ เป็นคนเจ้าชู้มาก ผู้ชายวันอังคารมักจะได้ครอบครองสาวสวยแต่ไม่อ่อนหวาน ผู้หญิงเก่งและปากไว ไม่เหมาะสมที่จะเป็นคู่ครองของชายวันนี้ ควรเป็นผู้หญิงว่าง่าย และรู้จักโอนอ่อนผ่อนตามมากกว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะแต่งงานมีสองช่วงคื คือ ๒๑ ถึง ๒๕ และ ๓๑ ถึง ๓๕ ปี

ผู้หญิงวันอังคาร รักการเรียนรู้ ดูเหมือนจะช่างเจรจา แต่พูดอะไรมักไม่รื่นหูเท่าไรนัก ดีตรงที่เป็นคนไม่ว่าใครลับหลัง ซัดกันจังๆต่อหน้าเลยทีเดียว มุ่งมั่น ทุ่มเทกับสิ่งที่เชื่อมั่น และหนักไปในทางวู่วาม บุ่มบ่าม ใจเร็ว เป็นผู้หญิงที่ไม่โรแมนติกเลยต่างกันอย่างมากกับผู้ชายวันอังคาร อาชีพที่เหมาะสมคือ ข้าราชการ ทหาร งานวิชาการ นักวิจัย หรืองานที่ต้องวางแผน จัดการ ผู้หญิงวันอังคารจะทำได้ดีมาก ผู้หญิงวันนี้มีความสามารถทางด้านการหมุนเงินมากเป็นพิเศษ ความรักกับผู้หญิงวันนี้มักไม่ถูกโรคกันนัก มีอยู่สองอย่างคือ ช่างเลือกมากๆ กับมีคนรักแล้วไม่ค่อยถนอม ช่างติ ดื้อรั้น ทิฐิ เอาแต่ใจ ไม่เคยยอมรับอะไรง่ายๆ ถึงรักใครสักแค่ไหนก้จะไม่ยอมให้เข้ามาวุ่นวายเจ้ากี้เจ้าการกับตัวเอง อุปนิสัยแบบนี้เป้นอุปสรรคหนักหนาต่อความรัก เลิกซะจะดี แปดในสิบของสาววันอังคารมักจะมีสามีเพราะรำคาญลูกตื๊อ หรือแค่เห็นใจในความดีของอีกฝ่ายมากกว่าความรัก สาววันนี้มีสามีเกินสองแน่นอน สาววันนี้ถึงกระด้างแต่ก็รักเด็กนะ

ทิศมงคลของคนวันอังคาร
คนเกิดวันอังคาร นามสีหราช ธาตุเหล็ก อายุสิบห้าจะเจอะเจอเรื่องโศกเศร้า ย่างเข้ายี่สิบห้าสุขภาพจะแย่ สามสิบกว่าจะดีขึ้นสี่สิบเศษอาจมีเหตุให้ร้อนใจอีกเล็กน้อย พ้นจากนี้ไปชีวิตมั่นคงวางใจได้ ทิศมูลละคืออีสาน พระเจ้าเทพเทวดาทำหิ้งไว้ทางอาคเนย์ ปลูกต้นไม้ดอกไม้ใบไว้ทิศบูรพา บ่อปลาสระบัวตั้งทางอุดร ข้าวปลายุ้งฉางไว้หรดี บริวารมากมีไว้ประจิม ศาสตราไว้พายัพครัวไฟไว้ด้านทักษิณ สิริมงคลจะบังเกิด

เกิดวันอังคาร
๓ อังคารเป็นบริวาร ลูกหลาน ลูกจ้าง สัตว์เลี้ยง ส่งเสริม กตัญญู ให้คุณ
๔ พุธ เป็นอายุ อายุจะยืนกว่าว่านเครือทั้งหลาย
๕ พฤหัสบดีเป็นมนตรี ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีทรัพย์สิน
๖ ศุกร์เป็นอุตสาหะ ขยันหมั่นเพียร รอบรู้
๗ เสาร์เป็นเดช มีเดชดังพระราม ผู้คนเคารพนับถือเลื่อมใส
๘ ราหูเป็นมูละ รูปงาม เป็นที่พอใจต่อเพศตรงข้าม
๑ อาทิตย์เป็นศรี อย่าไว้ใจใครมากจะเกิดโทษต่อตน
๒ จันทร์เป็นกาลิณี ระวังมีเรื่องบาดเจ็บล้มตาย คดีความ เรื่องชู้สาว

คนวันอังคาร ที่เกิดนักษัตรปี วอก ระกา จอ มะโรง สมควรอย่างยิ่งที่จะบูชาเทพประจำวันศุกร์ จะช่วยแก้ไขชะตาร้ายในเรือนชะตาได้มากที่สุด นอกจากนั้น ควรหมั่นสวดมนต์ ทำสมาธิ อาจะเล็กๆน้อยๆ แต่ปฎิบัติให้เป็นนิสัย เพื่อหัดควบคุมกายใจ ให้อยู่ในภาวะปกติเสมอ คนวันนี้จะมีปัญหามากในเรื่องความรัก คนที่ความรักเพริศอยู่แล้ว ควรบูชาเทพวันอังคาร เพื่อให้ชะตาฝ่ายดีชัดเจนขึ้น

เทพเจ้า แห่งดาวพุธ

เทพเจ้า แห่งดาวพุธ

wed

พระพุธ เป็นปฐมชนกแห่งตระกูลจันทรวงศ์ ในบ่อเกิดของรามเกียรติ์จัดเป็นเทพบุตรนักปราชญ์ ฉลาดแต่ขาดความเฉลียว มองโลกในแง่ดี ใจดี อ่อนไหวอ่อนโยน

เทพแห่งการทูต การเจรจา นักขายมือหนึ่ง ชั้นเลิศในการต่อรอง เก่งงานประชาสัมพันธ์

ตามตำนานเทวกำเนิด ระบุว่า ครั้งนั้นพระอิศวร ซึ่งเป็นใหญ่ในปวงเทพ นำพญาคชสารสิบเจ็ดเชือกมาป่นลงเป็นผงละเอียด รองรับด้วยผ้าสีเขียว ( เขียวโมรา ) ประพรมด้วยน้ำอมฤต กำกับด้วยพระเวทย์คาถาศักดิ์สิทธิ์ กำเนิดเป็นองค์เทพบุตรพระพุธ ผู้มีสีกายเป็นสีแก้วมรกต มีรัศมีสีขาวดุจปรอท มีวิมานสีมณีและทรงคชคเชนทร ( ช้าง ) เป็นพาหนะ

พระพุธเป็นเทพประจำวันพุธ และเป็นเทพประจำฤดูศารท ( ฤดูใบไม้ร่วง ) ทรงสถิตย์อยู่ในทิศทักษิณแห่งเขาพระสุเมรุ ประจำอยู่ทิศใต้ และแสดงถึงอักษรวรรค ฏะ ใหญ่ (ฏ ฐ ฑ ฒ ณ) รัตนประจำองค์พระพุธนั้นจัดเป็นแก้วมรกต เราจึงนับสีเขียวเป็นสีประจำวันพุธ

ในโหราศาสตร์ไทย พระพุธถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ ๔ และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากคชสาร ๑๗ เชือก จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น ๑๗สำหรับพระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันพุธก็คือ ปางอุ้มบาตร

ทิศมงคลประจำวัน ทิศอุดร ( เหนือ )
อัญมณีประจำวันพุธ มรกต
แม่ซื้อประจำวันเกิด นางสามลทัศ ( กายสีเขียว )

คาถาบูชาดวงชะตาประจำวัน พระคาถานารายณ์เกลื่อนสมุทร ภาวนาวันละ ๑๗ จบ ( ปิ สัม ระ โล ปุต สัต พุท )

ตามนิทานชาติเวรแจงไว้ว่า พระพุธกับพระราหูเป็นอริกัน พระพุธกับพระจันทร์จึงเป็นมิตรกัน

ประวัตินั้น ว่ากันว่า ” พระพุธ ” เป็นลูกของพระจันทร์ที่ถือกำเนิดจากชายาของพระพฤหัสบดี กาลครั้งนั้นพระจันทร์ได้ทำพิธีราชสูยะสำเร็จ จึงเกิดกำเริบไปลักลอบนำนางดารา ชายาพระพฤหัสซึ่งมีศักดิ์เป็นเทพอาจารย์ของเทพวันจันทร์มาครอบครอง พระพฤหัสทราบความทรงติดตามมาที่วิมานเทพจันทร์มาขอคืน ก็ยังไม่ยอมคืนนางดาราให้ จึงเกิดการรบครั้งใหญ่ เรียกว่า ” เทวาสุรสงคราม ” มีการรบราระหว่างเทพสองฝั่งกันครึกโครม ผลที่สุด พระพรหมเทพทรงลงมาไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทเพื่อสงบศึก ทรงรับสั่งให้พระจันทร์คืนนางดาราให้พระพฤหัส
พระจันทร์ทรงมอบนางดาราคืน แต่ก็มีพระพุธซึ่งเกิดกับพระจันทร์ ติดครรภ์มาแล้วในความผูกพันของบิดากับบุตร จึงก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์อันดีเหมือนลูกรักพ่อ พ่อเอ็นดูลูก จันทร์กับพุธ จึงเกื้อหนุนกันดีนัก

ส่วนนิทานปรัมปราเก่าแก่บอกว่า กาลครั้งหนึ่ง พระพุธเกิดเป็นสุนัข พระจันทร์เกิดเป็นคนยากจนเข็ญใจ ส่วนพระราหูเป็นพ่อค้าเงินกู้ที่มั่งคั่งด้วยทรัพย์เงินทอง พระจันทร์ผู้ยากไร้ ได้มาหยิบยืมเงินของพระราหูเพื่อไปใช้จ่ายประทังชีวิต ครั้นถึงกำหนดใช้คืน ก็ไม่มี ที่ดินไร่นาใดใดก็ไม่มีให้ยึด พระราหูในชาติภพเศรษฐีผู้โหดร้ายจึงไล่ต่อยตีเข่นฆ่า เพราะโมโหที่พระจันทร์ในชาติภพคนจนตอนนั้นไม่สามารถคืนเงินของตนที่ยืมไปได้ พระพุธซึ่งเกิดเป็นสุนัขในชาติภพนั้น เห็นก็เกิดสงสารพระจันทร์ จึงไล่กัดทำร้ายพระราหู เปิดโอกาสให้พระจันทร์ได้มีเวลาหลบหนีไปได้ พระราหูโกรธเคืองสุนัขที่ทำร้ายตนและทำให้พระจันทร์เล็ดรอดหนีมีดไม้ของตนไป จึงทำร้ายสุนัข สุนัขเกลียดพระราหู ที่เป็นคนเหนือกว่า แล้วทำร้ายคนที่ด้อยกว่า อย่างเลือดเย็นไร้ปรานี ทั้งสองฝ่ายจึงผูกใจเจ็บอาฆาตกันแต่ชาติภพดังกล่าวเรื่อยมา คนวันพุธ กับพุธกลางคืน จึงมักไม่ลงรอยกัน พื้นชะตาส่งให้ร่วมกันทำอะไรก็ไม่สำเร็จ และมักเขม่นไม่ชอบหน้ากันแบบไม่มีเหตุผล เวลาดาวราหูเข้าวงโคจรมาในเรือนชะตาคนพุธกลางวันครั้งใด ก็จะส่งผลร้ายที่คาดไม่ถึงเสมอ

มีเรื่องเล่าว่า พระพุธได้พบรักกับนางอิลา เป็นโอรสของ พระกรรทมพรหมบุตรมีนามว่า ท้าวอิลราช เป็นกษัตริย์ ครองนครพลหิกา ตกเป็นชายาพระพุทธ ได้ว่ากันว่า ในสมัยนั้นพระอิศวร กำลังแปลงองค์ เป็นอิสตรีเพื่อล้อเลียนพระอุมาเทวีอยู่ในที่รโหฐาน สรรพสิ่งแวดล้อมภายในสถานที่นั้นจะกลับเป็นอิตถีเพศ ( เพศเมีย )ซึ่งขณะนั้น ท้าวอิลราช ได้ก้าวล่วงเข้าไปสถานที่ดังกล่าว โดยไม่ได้รับอนุญาติ จึงได้กลับกลายเป็นสตรีเพศ ตามทุกสรรพสิ่งไปด้วย และได้นามว่านางอิลา กาลถัดมา จึงได้ตกเป็นพระชายาของพระพุธ และมีทายาทเป็นบุตร นาม ปุรูราวัสมหากษัตริย์ครองนครประดิษฐาน ทรงมีรัชทายาทมากมายสืบสกุลจันทรวงศ์ต่อๆมา

เทพนพเคราะห์ ประจำวันพุธ เราเปรียบดาวพุธ ในสุริยจักรวาล เป็นดาวดวงหนึ่งเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒,๙๙๒ ไมล์ และคิดเป็นตารางเหลี่ยม ๒๘,๓๒๑,๐๐๐ ใช้เวลาหมุนรอบตัวเองหนึ่งรอบเท่ากับ ๒๔ ชั่วโมง ๔ นาที ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ราว ๓๕,๙๘๗,๐๐๐ ไมล์ โคจร ๘๗ วัน ๒๔ ชั่วโมง ๑๔ นาที รอบดวงอาทิตย์ แรงดึงดูด ๑ วินาที ต่อ ๖.๙ ฟุต

ดาวพุธ อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด จึงใช้ระยะเวลาสั้นมากในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ เป็นดาวที่เดินร่วมวงโคจรกับดวงอาทิตย์ อยู่ราศีเดียวกัน ห่างไม่เกิน ๑ ราศี หน้าหลัง และเป็นดาวที่มีการโคจรไม่แน่นอน เดี๋ยวเร็ว เดี๋ยวช้า เดินหน้า ถอยหลัง ด้วยมีลักษณะไม่ชัดเจน ตามเส้นทางเดินของดวงดาว เราจึงเปรียบดาวพุธ กับความโลเลไม่มั่นคงผู้คนไม่จึงนิยม แต่งงานในวันพุธ เพราะเกรงชีวิตคู่จะล้มเหลว รวนเร ไม่ยั่งยืน ไม่เริ่มต้นธุรกิจในวันพุธ เพราะกลัวอิทธิพลความไม่แน่นอนของดาวพุธ จะส่งให้กิจการติดขัด ไม่ก้าวหน้า ดังคำโบราณว่า วันพุธ หัวกุด ท้ายเน่า

สีมงคลที่ส่งเสริมโชคลาภคือสีเขียว สีน้ำเงินเข้ม สีดำ สีเทา สีน้ำตาล
สีที่ใส่แล้วจะส่งเสริมเกียรติยศมีคนเกรงขามคือสีส้มอิฐ สีที่เป็นกาลกิณี คือสีชมพู

พระพุธเป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ เป็น เทพธาตุน้ำให้ผลในทางอ่อนโยน ใจเย็น สุขุม คล่องแคล่ว พูดจาไพเราะ เป็นที่ชื่นชอบของผู้พบเห็น

ผู้ใดเกิดวันพุธ หรือมีพระพุธสถิตย์ร่วมกับลัคนา มักเฉลียวฉลาด ช่างพูดช่างจา มีวาทศิลป์ เป็นเอกเรื่องคารม สุขุมรอบคอบ แต่ตื่นกลัวง่าย
รักอิสระ ชอบการท่องเที่ยว ผจญภัย

หญิงชาย เกิดในวันพุธ
๔ เป็น อัตตะ พูดจาตรงไปตรงมา ทำคุณคนไม่ขึ้น ถูกนินทาว่าร้ายอยู่เสมอๆ ชีวิตไม่ตกต่ำ แต่จะเดือดร้อนเพราะเพื่อน

๕ เป็น หินะ ประหยัด พอเพียง ไม่ขัดสนเงินทอง แต่ถูกหยิบยืมไปเท่าไหร่ มักไม่ได้คืน มักมีทรัพย์เพิ่มขึ้นตามอายุ

๖ เป็น ธะนัง จะได้ลาภ จากผู้ที่ทำงานรับราชการ หรือการประมูลของหลวง การใดใดที่เกี่ยวกับกรม กระทรวง

๗ เป็น ปิตา มีผมหยักศก ใบหน้าเรียวมน ดวงตารีเล็ก ผู้ใหญ่รักใคร่ ต่อไปฝ่ายบิดาของตน จะมั่งมีศรีสุข อายุยืน

๑ เป็น มาตา มารดาเป็นคนร่างสันทัด แต่อาภัพรัก ตายเร็ว ตายก่อนบิดา มีความรู้ความเข้าใจเฉพาะทางดีมาก

๒ เป็น โภคา ไม่ควรนำทรัพย์สิน ให้ผู้อื่นหยิบยืม เพราะต่อไปจะเดือดร้อน เสียทั้งเพื่อน ทั้งเงิน ควรพิจารณาให้รอบคอบ

๓ เป็น มัชฌิมา ไปไหนมีคนชอบคนรัก แต่ไม่ควรวางปากไว้ที่ใจ จะพูดอะไรตรงมากไปก็ไม่ดี ควรเก็บงำคำพูดจาไว้บ้าง

คนเกิดวันพุธ ปีชวด ( หนู )
หนูติดจั่น โชคชะตาวาสนาอยู่ในเกณฑ์ปานกลางตกภาค ท้าวมหายักษ์นำพระยาสัตลุงไปประหาร ทายว่า เป็นคนคิดมาก มีแต่ทุกข์ร้อนกายใจ ชีวิตอาภัพยิ่งนัก

คนเกิดวันพุธ ปีฉลู ( วัว )
วัวพิการ โชคชะตาวาสนาอยู่ในเกณฑ์พอใช้ตกภาค ชีวิตอาภัพ พึ่งพาใครไม่ได้เลย ผ่านความยากลำบากมากมายจึงสุขสบายทำคุณคนไม่ขึ้น

คนเกิดวันพุธ ปีขาล ( เสือ )
เสือจำศีล โชคชะตาวาสนาอยู่ในเกณฑ์ ดีมากตกภาค ใจบุญสุนทาน มีความเป็นส่วนตัวสูง รักสงบ มีความคิดเป็นของตนเองแต่ยอมรับฟังความคิดคนอื่นเสมอ

คนเกิดวันพุธ ปีเถาะ ( กระต่าย )
กระต่ายขาพิการ โชคชะตาวาสนาอยู่ในเกณฑ์พอใช้ ตกภาค ชีวิตขัดสน ทำมาหากินยากลำบาก ต้องใช้ความมานะบากบั่นสูงสุดในการสร้างหลักปักฐาน

คนเกิดวันพุธ มะโรง (งูใหญ่ )
งูตกเหว โชคชะตาวาสนาอยู่ในเกณฑ์พอใช้ตกภาค เบื้องต้นชีวิตต้องตกระกำลำบาก ต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง ควรระมัดระวังในการดำเนินชีวิตเสมอ อย่าไว้ใจคนง่าย

คนเกิดวันพุธ มะเส็ง ( งูเล็ก )
งูพเนจร โชคชะตาวาสนาอยู่ในเกณฑ์พอใช้ตกภาค ชะตาชีวิตแปรเปลี่ยน โยกย้ายอยู่เสมอ เกิดที่นี่ จะไปได้ดีต่างถิ่น ทำอะไรต้องใจเย็นมีระบบระเบียบแบบแผน ไตร่ตรองถ้วนถี่จึงดี

คนเกิดวันพุธ มะเมีย ( ม้า )
ม้าพเนจร โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้ตกภาค ความเป็นอยู่ขัดสน ในช่วงต้นชีวิต อย่าใจเร็วด่วนได้ หลีกเลี่ยงการบาดหมางทะเลาะเบาะแว้งความสำเร็จจะเกิดขึ้นในช่วงระยะสุดท้าย บั้นปลายชีวิต จงอดทน

คนเกิดวันพุธ มะแม ( แพะ )
แพะราชครู โชคชะตาวาสนาอยู่ในเกณฑ์ดีมากตกภาค จะได้ดีเพราะมีความสามารถ ต้องหมั่นเรียนรู้ฝึกฝนในงานที่ตนชอบ จนเกิดความเคยชินและชำนาญต่อไปภายภาคหน้า จะได้เป็นใหญ่เป็นโต ทรัพย์สินมากมาย ฐานะมั่นคง

คนเกิดวันพุธ วอก ( ลิง )
ลิงฤาษีเลี้ยง โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ดี ตกภาค ชีวิตสุข สมบูรณ์แบบ สติปัญญาความรู้ดี จะประสบความสำเร็จ จนมีชื่อเสียง เงินทองมากล้น

คนเกิดวันพุธ ระกา ( ไก่ )
ไก่พระโพธิสัตว์ โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ดีมาก ตกภาคมีความเป็นอยู่ที่ดี ได้รับการยกย่องเชิดชู มีบุญวาสนาสูง มีความก้าวหน้ามากกว่าคนอื่นๆ

คนเกิดวันพุธ จอ ( สุนัข )
หมาป่าจ่าฝูง โชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ ดีมากตกภาค บารมีสูง วาสนาดี มีบริวารมาก ใจใหญ่ ใจนักเลง จะได้เป็นเจ้าคนนายคน อุดมทรัพย์สิน

คนเกิดวันพุธ กุน ( หมู )
หมูพเนจรโชคชะตาวาสนา อยู่ในเกณฑ์ พอใช้ตกภาคอาภัพ ตกอับ เหนื่อยยาก ทุกข์ทน ทรมาน ต้องใช้เวลานานกว่าจะตั้งตัวได้ แต่ก็ได้แค่ได้พอประมาณ

คนเกิดวันพุธ ทั่วๆไป
มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ พูดจาขวานผ่าซาก ปากตรงกับใจ อัธยาศัยไมตรีดี แต่มักถูกผู้อื่นเบียดเบียน เห็นใครๆ ตกทุกข์ได้ยาก มักยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ไม่ชอบพูดซ้ำเติมคนผิดพลาดให้เจ็บช้ำน้ำใจ คำพูดของคนวันพุธจะเป็นไปในทางสร้างสรรค์ ส่งเสริม แต่บางครั้ง คำพูดตรงๆ ที่เกิดจากความหวังดี แบบปากกับใจตรงกันมากเกินไป ก็มักจะสร้างภัยให้กับตัวเอง ชอบออกรับแก้ต่างแทนคนอื่น ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ต้องระวังอย่านึกจะพูดอะไรก็พูด นึกจะทำอะไรก็ทำ เป็นคนใส่ใจในเรื่องพระเจ้า ใจบุญสุนทาน ไม่ยึดติดกับวัตถุหรือกฏเกณฑ์ใดใด มักมีความคิดริเริ่มทำอะไรใหม่ๆ ช่างพูดจา กล้าวิจารณ์ ใฝ่รู้

คนเกิดวันพุธ จะเป็นที่ยกย่องเชื่อถือของคนทั่วไป เวลาตั้งใจทำอะไร ทำจริง จนประสบความสำเร็จ คนวันพุธจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น ในลักษณะการหวังผลประโยชน์ตอบแทน รับเค้ามาแล้วต้องคืนไปไปอีกเกินเท่าตัว จึงต้องหัดพึ่งตนเองมากกว่าจะขอความช่วยเหลือจากใคร

ผู้ชายวันพุธ
การเงินมักต่อเนื่อง ไม่ตกยากขาดแคลน ถ้าได้เป็นผู้บริหารก็จะมีคนเชื่อถือ ยำเกรง เป็นพระ เป็นฤษี หรือพราห์ม ผู้คนจะเคารพ ยกย่อง ความรักโลเล เลื่อนลอย ถึงแม้จริงจัง จริงใจ แต่ก็ไม่หนักแน่น เลือกมาก เอาใจยาก มักทำคนดีดีที่ผ่านเข้ามาในชีวิตหลุดมือไป เพียงเพราะไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ในความรู้สึกรักหรือไม่รักของตัวเอง มีลูกสาววันพุธ ลูกชายวันอังคาร ถือว่าดี แต่ลูกวันไหนๆก็ดีได้ ถ้าเราเป็นพ่อที่ดี รักและใส่ใจทำหน้าที่ของคนเป็นพ่ออย่างเต็มกำลัง ระวังโรคทางเดินหายใจ ปอด หลอดลม

ผู้หญิงวันพุธ
มีมนุษย์สัมพันธ์ดี มักออดอ้อน วอแว ทำตัวน่ารักน่าเอ็นดู ตาดำเล็กมีประกาย ช่างเจรจาขี้สงสาร เชื่อคนง่าย ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ใจอ่อน ชอบช่วยเหลือเพื่อนฝูง เหมาะกับงานขายงานแสดง งานประชาสัมพันธ์ งานที่ต้องใช้คำพูด การสื่อสาร โรคภัย คือมีอาการปวดหัวข้างเดียว หรือปวดเฉพาะตำแหน่ง เช่น ขมับ กระหม่อม ท้ายทอย บ่อยๆ

ทิศมงคล ของคนวันพุธ
คนเกิดวันพุธ สุนัขนาม ธาตุเถ้า อายุ ๑๓ จะเป็นไข้หนัก หรือมีเคราะห์ พ่อแม่ควรชวนลูกทำบุญปล่อยนกปลาหลังจากนั้นอายุ ๕๘ จะมีเรื่องเจ็บไข้หนักอีกหน พ้นจากเจ็บป่วยแล้วก็จะมีแต่เรื่องสุขกายสบายใจทิศมูละแห่งชีวิต คือทิศอุดร หิ้งพระบูชา เทพทั้งปวง รูปเคารพ ควรไว้ทิศบูรพา ตู้ปลา อ่างบัว สระน้ำ บ่อน้ำให้อยู่หรดี ไม้ดอกไม้แดกไม้ประดับ ให้อยู่อาคเนย์ ตู้เย็น ข้าวปลาอาหารสดแห้ง เก็บไว้ทิศประจิมจะสมบูรณ์อาวุธปืน มีดพร้า จอบเสียม ไว้ทักษิณ จะปลอดภัย ห้องนอนลูกห้องพักคนงานคนใช้ไว้ทิศพายัพ ครัวสร้างไว้ทิศอีสาน จึงดี

คนเกิดวันพุธ
๔ พุธ เป็นบริวาร ลูกเมีย ส่งเสริมเรื่องการเงินการงาน
๕ พฤหัสบดี เป็นเดช มีเดชดังโพธิสัตว์ อำนาจบารมีสูงส่ง
๖ ศุกร์ เป็นมูละ ขยันขันแข็ง รักการงาน ไม่ย่อท้ออุปสรรค
๗ เสาร์ เป็นอายุ อายุไม่ยืน โรคภัยเบียดเบียน รักษาตัวให้จงดี
๘ ราหู เป็นศรี ขัดสน ยากไร้ ถึงหน้าตาดีก็ไม่มีเสน่ห์
๑ อาทิตย์ เป็นอุตสาหะ จิตใจดี เกลียดใครมักแสดงออก
๒ จันทร์ เป็นมนตรี ลูกเมีย นำทรัพย์ มาสู่
๓ อังคาร เป็นกาลกิณี ทำคุณคนไม่ขึ้น มิตรสหายไม่ส่งเสริม

คนเกิดวันพุธ นั้น จะดีเลวอย่างไร ต้องดูยามตกฟาก ราศี นักษัตรปี ร่วมด้วย คนที่เกิดปีหมู ปีม้า งูเล็ก งูใหญ่ กระต่าย ฯ อย่าพึ่งตกใจ เพราะราศีเดือนและยามตกฟากของท่าน อาจจะอยู่ในเกณฑ์ดีพอที่จะบรรเทาความรุนแรง ของดวงชะตา ตามวันและปีที่ไม่ดีนักได้

การบูชาเทพประจำวันเกิด พระพุธ
สามารถทำให้ชีวิต ของคนเกิดวันพุธ และวันจันทร์ ดีขึ้นได้อย่างชัดเจน เพราะเทพประจำวันเกิดถือเป็นเทพที่ใกล้ตัวเราที่สุด เมื่อหลุดจากท้องแม่ออกมาก็ถือว่าต้องเจอกันเลย เป็นเทพที่บันดาล เป็นตาย ร้ายดี รวยจน แก่เราได้โดยตรง และรวดเร็ว กว่าเทพองค์ใดใด เพราะเราคือคนในปกครองของท่านในวันที่ถือกำเนิด จัดเป็นเทพที่ทรงอานุภาพ ต่อดวงชะตาเราสูงสุด ส่วนเทพวันจันทร์ เราถือกันว่าเป็นองค์เทพที่มีอิทธิคุณ กับคนวันพุธ คนวันพุธบูชาเทพวันจันทร์ คนวันจันทร์บูชาเทพวันพุธ ล้วนแล้วแต่ส่งเสริม สนับสนุน ชะตาชีวิตของกันและกันในเชิงบวกทั้งสิ้น ..